แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Cindy700

หน้า: 1 ... 508 509 [510] 511
7637
ศัลยกรรม แผลเป็น ดึงรั้ง"AESTHETIC SURGERY EVOLUTION ART NATURAL"
อาเซียนบิวตี้คลีนิค  ศัลยกรรม แผลเป็น ดึงรั้ง
อาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความสวย  ศัลยกรรม แผลเป็น ดึงรั้ง
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง และก็เวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความสวยสดงดงาม
แบบองค์รวม ตั้งแต่ศีรษะถึงปลายตีน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  ศัลยกรรม แผลเป็น ดึงรั้ง [pr]
แล้วก็ ทีมงานมืออาชีพ 
อีกทั้งไทยแล้วก็เมืองนอก ศัลยกรรม แผลเป็น ดึงรั้ง

 

7638
ศูนย์จำหน่าย อาหารเสริม ทริปเปิ้ล เอ็กซ์
สรรพคุณหลัก บำรุงร่างกาย สำหรับผู้ชาย สกัดจากธรรมชาติ
ปลอดภัย มี 13-1-06355-1-0062 ฮาลาล เลขที่ ฮล.054-2558 มาตรฐานการผลิต GMP ตามมาตรฐานสากล ไม่มีผลข้างเคียง
คุณประโยชน์เพิ่มเติม เข้าดูได้ที่ http://www.bbbigshop.com/product/triplex.php [pr]

ในกระปุก มี :  60 CPs.
ทางร้านเรารับลองจะได้ของแท้ชัวร์ 100%
ซื้อกับตัวแทนจำหน่ายสินค้า ได้ของแน่นอน สินค้ามีพร้อมส่ง เก็บเงินปลายทาง เคอร์รี่สินค้าราคาโปรโมชันพิเศษจัดส่งให้ฟรีทั่วประเทศ
สนใจสั่งซื้อ
โทร.089-4028986
ติดต่อคุณBOY หรือ Line ID : 0811570437


7639
ผู้แทนขายอาหารเสริม แทมโป้
คุณประโยชน์หลักบำรุงร่างกาย สำหรับผู้ชาย สกัดจากธรรมชาติ
ปลอดภัย มี อย.10-3-37457-1-001 ไม่เป็นผลข้างเคียง
คุณค่าเพิ่มเติม เข้าดูพอดี http://www.bbbigshop.com/product/tampo.php [pr]
ในกระปุก มี :  60 แคปซูล

ราคา 1700 บาท 
ทางร้านbbbigshop รับประกันจะได้ของแท้แน่ๆ100%
ซื้อกับตัวแทนจำหน่ายสินค้า ได้ของแน่นอนสินค้ามีพร้อมที่จะจัดส่ง ส่งไปรษณีย์ EMS หรือ เก็บเงินปลายทางก้ได้
ผลิตภัณฑ์ราคาถูกพิเศษจัดส่งฟรีทั่วไทยพอใจ
สั่งซื้อโทร.089-4028986ติดต่อคุณบอย หรือ Line ID : @klw6406v
 
อาหารเสริมแทมโป้ ซื้อเลย 0894028986

7640
SAM สนองนโยบายปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือนของภาครัฐ [pr] เข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ กรมบังคับคดี 25 ก.พ. นี้ ที่ไบเทค บางนา

นายธรัฐพร เตชะกิจขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้ปี 2565 นี้เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน SAM ในฐานะหน่วยงานภาครัฐพร้อมสนองนโยบาย โดยเข้าร่วมงาน "มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน" ครั้งที่ 1 จัดโดยกรมบังคับคดี ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3 บางนา กรุงเทพฯ ในวันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ตั้งแต่เวลา 9.00-15.00 น. ซึ่งมีสถาบันการเงินเข้าร่วมงานมากถึง 16 แห่ง โดยครั้งนี้ SAM ได้ออกจดหมายเชิญลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ NPL ที่อยู่ภายใต้ความดูแลของ SAM และอยู่ในชั้นบังคับคดี ประมาณ 100 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวมประมาณ 800 ล้านบาท เข้าร่วมงาน เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย เจรจา ปรึกษา หาข้อยุติการบังคับคดีและแก้ไขปัญหาหนี้สินร่วมกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และเป็นการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าให้มีทางออกด้านภาระหนี้ให้สามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามปกติ รวมทั้งเป็นทางเลือกในกระบวนการยุติธรรม ลดความเหลี่อมล้ำและขั้นตอนกระบวนการบังคับคดี ค่าใช้จ่ายรวมถึงระยะเวลาในการบังคับคดี ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ NPL ของ SAM ที่ได้รับจดหมายเชิญแล้ว สามารถติดต่อเข้าร่วมงานและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02-686-1800 หรือ แอดไลน์ @nplbysam รวมทั้งติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์
ทั้งนี้ ภายในงานฯ มีมาตรการลดความแออัด รักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามข้อกำหนดของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยขอให้ผู้สนใจเข้าร่วมงานแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน อย่างน้อย 2 เข็มและรูปถ่ายผลการตรวจ ATK พร้อมบัตรประชาชน หรือ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมง มาแสดงที่จุดตรวจคัดกรอง และวัดอุณหภูมิ เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว กรณีลูกค้าที่มาร่วมงาน ไม่มีหลักฐานมาแสดง บริเวณด้านหน้างานจะมีการจัดเตรียมชุดตรวจ ATK และสถานที่ตรวจเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าก่อนเข้างานอีกด้วย

7641
CGS ให้กรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,650-1,700 เกาะติดยูเครน-รัสเซีย,ตัวเลขศก.สหรัฐ

บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย [pr] (SET Index) สัปดาห์นี้เคลื่อนไหว 1,650-1,700 จุด เชิงกลยุทธ์การลงทุน Trading รายสัปดาห์ยังมองกลุ่มน้ำมันน่าสนใจ (PTTEP) ตามปัจจัยหนุนจากความกังวลยูเครน-รัสเซีย โรงกลั่น (BCP SPRC TOP) โดยยังคงแนะว่านักลงทุนรับความเสี่ยงต่ำทยอยลดพอร์ตเนื่องจาก Valuation ที่ค่อนข้างแพงมองจุดน่าทยอยรับกลับอีกครั้งบริเวณ 1,600-1,620 ดังนั้น SET บริเวณ 1,700 จุดมองเป็นเพียงการ Trading เท่านั้น

ทั้งนี้ วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับฐานลง 1.4% และ NASDAQ ปรับฐานลงมา 2.78% หลังสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างยูเครนกับรัสเซียส่อเค้าที่จะรุนแรงมากขึ้น ข้อมูลล่าสุดสหรัฐและออสเตรเลียสั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆเร่งออกจากยูเครนเพราะหวั่นถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น โดยเม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้งในวันศุกร์ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น , อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลง , Vix Index ปรับตัวขึ้น จึงทำให้ SET ช่วงต้นสัปดาห์มีโอกาสย่อตัวลงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม คาดการปรับฐานไม่รุนแรงมากนักเนื่องจาก SET มีโอกาสได้แรงหนุนจากกลุ่มน้ำมัน (PTTEP) ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ BRT ที่ยืนระดับสูง (วันศุกร์ +3.3%) เนื่องจากนักลงทุนมองว่าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนอาจส่งผลให้อุปทานตึงตัวมากขึ้น เพราะอาจเกิดการคว่ำบาตรรัสเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 3 ของโลก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยก็มิได้พึ่งพิงเศรษฐกิจรัสเซีย ในปี 62 ไทยส่งออกไปรัสเซียคิดเป็นเพียง 0.69% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด

ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้เรื่องของเงินเฟ้อสหรัฐยังเป็นปัจจัยหลัก โดยสหรัฐมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจดังต่อไปนี้ (1) วันอังคาร สหรัฐมีกำหนดรายงาน PPI (ดัชนีราคาผู้ผลิต) Bloomberg คาดที่ 0.5%MoM (2) วันพุธ ตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐ Bloomberg คาดที่ 1.8%MoM (3) รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดือน ม.ค. ในวันพฤหัสบดี ดังนั้นหากตัวเลขประกาศออกมายังเป็นลักษณะสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ก็อาจกลับมากดดันตลาดหุ้นได้อีกครั้ง

ส่วนในประเทศจะเป็นเรื่องของผลประกอบการไตรมาส 4/64 Bloomberg คาดว่าหุ้นใน SET100 จะรายงานในสัปดาห์นี้ราว 21 บริษัท

ทั้งนี้ คะแนะนำสำหรับหุ้น PTTEP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 146 บาท) ภาพรวมกำไรปี 65 เป็นบวกเพราะคาดว่ายอดขายจะโตขึ้น 12% YoY เป็น 467kBOED และราคาขายเฉลี่ยคาดโต 5% เป็น US$46/BOE โดยระยะสั้นยังได้ปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

TOP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 67 บาท) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/64 ที่แข็งแกร่ง 5.1 พันล้านบาท (-30% YoY, +146% QoQ) หนุนจากค่าการกลั่นที่คาดสูงขึ้นเป็น US$5.5/bbl จาก US$1.6/bbl ในไตรมาส 3/64 เป็นผลจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง

7642
15 อาการของโรคภูมิแพ้ ที่คุณอาจเป็นแล้วแต่ไม่รู้ตัว!
ใครๆ ก็สามารถเป็นโรคภูมิแพ้ได้ทั้งนั้น หากร่างกายเราไม่แข็งแรง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี หรือสัมผัสสารก่อภูมิแพ้สูง วันนี้เรามีทั้งตัวอย่างของสารก่อภูมิแพ้ที่เราควรระวัง และ อาการของโรคมาฝากกันค่ะ

•สารก่อภูมิแพ้มีอะไรบ้าง
1. ในสิ่งแวดล้อมและอากาศ 
-ไรฝุ่นที่ตามที่นอน โซฟา พรม ผ้าม่าน 
-ฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ มาจากการเผาทุกชนิด เช่น เผาหญ้า เผาเศษขยะ เตาปิ้งย่าง ควันรถยนต์จากท่อไอเสีย
-แมลงสาบ เชื้อราตามผนัง 
-เกสรดอกไม้

2. อาหาร เช่น ไข่ อาหารทะเล ถั่ว แป้งสาลี นมวัว 
•อาการของโรคภูมิแพ้ 15 อาการ ได้แก่ ผื่นคัน มีน้ำมูกไหล ลมพิษ จาม คันจมูก คัดจมูก คันตา แสบตา ระคายเคืองตา มีน้ำตาไหลบ่อย ไอ หอบ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หายใจแล้วมีเสียงวี้ด 
ยิ่งถ้าอาการออกบ่อยๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพเรามากกว่าคิดนะคะ ดังนั้น ใครอยากกันไว้ดีกว่าแก้ ไม่รอให้ร่างกายตัวเองแย่ก่อน แล้วถึงมาแก้ทีหลัง อย่าลืมหันมาดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองให้มากขึ้นกันนะคะ เช่น เลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
หรือให้ Balance UCore (BLU) ยูคอร์ เป็นตัวช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง จากสารสกัดจากธรรมชาติที่ดีต่อร่างกาย ทั้งโสม น้ำมันจมูกข้าว เห็ดหลินจือ ขิง และอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยทำให้เรื่อง ภูมิแพ้ ไม่ใช่ปัญหาที่คุณต้องกังวลอีกต่อไป

BALANCE UCore (BLU)
จดทะเบียนในชื่อ ยูคอร์ (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูลนิ่ม)
UCore [pr] (SOFT GEL DIETARY SUPPLEMENT PRODUCT)
เลขที่ อย. 13-1-07458-5-0233
ขนาดบรรจุ 30 แคปซูล
ปกติ 1,290 บาท
ราคาพิเศษเพียง 990 บาท
โปรโมชั่นพิเศษ! 2กระปุก แถม1 กระปุกฟรี 
ส่งฟรีเคอรี่ มีบริการเก็บเงินปลายทาง
#ของแท้จากบริษัทโดยตรง
#โปรดระวังของปลอมไม่เห็นผลและอันตราย
สอบถาม ทักข้อความ หรือ LINE: @balances
เพจ UCore [pr]
รายละเอียดเพิ่มเติม UCore [pr]

7643
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ร่วงกังวลปัญหาชิปขาดแคลนหากเกิดสงครามยูเครน-รัสเซีย [pr]

กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลง 2.35% หรือ 139.56 จุด เมื่อเวลา 11.28 น. หลังจากกังวลเกิดสงครามรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้เกิดขาดแคลน Chip ที่ทั้งยูเครนและรัสเซียเป็นซัพพลายเออร์ นำโดย

KCE ปรับลง 2.93% หรือ 1.75 บาท มาที่ 58.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 909.84 ล้านบาท

HANA ปรับลง 2.46% หรือ 1.50 บาท มาที่ 59.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 310.06 ล้านบาท

DELTA ปรับลง 2.24% หรือ 9.00 บาท มาที่ 393.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 150.13 ล้านบาท

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองเป็นลบต่อกลุ่ม Electronic จากความกังวลว่าหากเกิดสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียจะทำให้มีปัญหา supply chain disruption ในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน electronic เพราะทั้งยูเครนและรัสเซียเป็น supplier วัตถุดิบในการผลิต

ข้อมูลจาก Techcet research พบว่ากว่า 90% ของ semiconductor-grade neon gas ที่ใช้ในสหรัฐนำเข้าจากยูเครน และ 35% ของแร่ palladium ที่ใช้ในสหรัฐนำเข้าจากรัสเซีย โดยวัตถุดิบทั้ง 2 เป็นส่วนสำคัญในการใช้ผลิต chip ดังนั้น สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน electronic ในไทย สอดคล้องกับตลาดอเมริกา

โดยเราแบ่งเป็น 2 สาเหตุ 1.supply chain disruption จะส่งผลให้ปัญหา chip shortage ยืดเยื้อออกไป 2.หากเกิดสงครามจะส่งผลให้ราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเงินเฟ้อ และการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐเกี่ยวกับมาตรการดอกเบี้ยในช่วงมีนาคมนี้ ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นจะยังเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นต่อไป

แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นกลุ่ม electronic ในช่วงนี้ไปก่อน คาดหุ้นที่จะได้รับผลกระทบเรียงจากมากไปน้อย คือ 1.HANA (ซื้อ/เป้า 105.00 บาท) 2.DELTA (NR) 3.KCE (ซื้อ/เป้า 80.00 บาท) 4.HTECH (ซื้อ/เป้า 9.50 บาท)

7644
แอร์ผนังเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเรา  สาเหตุที่แอร์ผนังเป็นแอร์ที่ได้รับความนิยมสูงเพราะเป็นเครื่องปรับอากาศที่เหมาะกับห้องขนาดไม่ใหญ่นัก สามารถติดตั้งในจุดที่สูงกระจายความเย็นได้ไกล ทั้งยังดูแลรักษาง่าย ถ้าท่านไหนกำลังมองหาแอร์มาใช้ดับร้อนในห้อง เรามีวิธีเลือกแอร์ผนังชนิดไหนที่ทั้งประหยัดไฟและเย็นเร็วมาให้คุณใช้เป็นเกณฑ์การเลือกแบบง่ายๆ กันค่ะ



1. เลือกขนาด BTU ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง
ข้อแรกนี้เป็นหลักการเลือกแอร์ที่สำคัญที่สุด เราสามารถคำนวณได้ง่ายๆ ด้วยสูตรคำนวณ  ขนาดห้อง (ตารางเมตร) x 650-800 BTU = ขนาด BTU ที่เหมาะกับขนาดห้องโดยประมาณ  ซึ่งสามารถเพิ่มหรือลดได้อีกประมาณ 5% ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อาทิเช่น ทิศทางที่แสดงแดดกระทบผนังในช่วงเวลาต่างๆ

BTU    ห้องแอร์ปกติ    ห้องแอร์ที่โดดแดด
ขนาด 9,000 BTU    พื้นที่ 12-15 ตารางเมตร    พื้นที่ 11-14 ตารางเมตร
ขนาด 12,000 BTU    พื้นที่ 16-20 ตารางเมตร    พื้นที่ 14-18 ตารางเมตร
ขนาด 18,000 BTU    พื้นที่ 24-30 ตารางเมตร    พื้นที่ 21-27 ตารางเมตร
ขนาด 21,000 BTU    พื้นที่ 28-35 ตารางเมตร    พื้นที่ 25-32 ตารางเมตร
ขนาด 24,000 BTU    พื้นที่ 32-40 ตารางเมตร    พื้นที่ 28-36 ตารางเมตร
ขนาด 25,000 BTU    พื้นที่ 35-44 ตารางเมตร    พื้นที่ 30-39 ตารางเมตร
ขนาด 30,000 BTU    พื้นที่ 40-50 ตารางเมตร    พื้นที่ 35-45 ตารางเมตร
ขนาด 35,000 BTU    พื้นที่ 48-60 ตารางเมตร    พื้นที่ 42-54 ตารางเมตร
ขนาด 48,000 BTU    พื้นที่ 64-80 ตารางเมตร    พื้นที่ 56-72 ตารางเมตร
ขนาด 80,000 BTU    พื้นที่ 80-200 ตารางเมตร    พื้นที่ 70-90 ตารางเมตร

นอกจากนี้ต้องเลือกฟังก์ชั่นของแอร์ผนังให้เหมาะกับรูปทรงของห้อง ดังเช่น ห้องที่เป็นแนวยาว ควรเลือกซื้อแอร์ผนังที่สามารถส่งความเย็นไปได้ไกลอย่างเช่น แอร์ mitsubishi [pr] ที่มีระบบ Jet Flow สามารถส่งความเย็นไปได้ไกลถึง 11 เมตร ช่วยกระจายความเย็นได้ทั่วถึงทั้งห้องได้อย่างรวดเร็วแม้ในจุดที่อยู่ไกล

2. เลือกแอร์ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ เพื่อช่วยให้ข้อมูลที่ชัดเจนขึ้น โดยปรับให้เป็น “ฉลาก ประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ติดดาว” ที่มีดาวตั้งแต่ 0-3 ดาว โดยยิ่งมีจำนวนดาวมาก ยิ่งหมายถึงประสิทธิภาพการประหยัดไฟฟ้าที่มากขึ้น

3. เลือกแอร์ผนังที่มีระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter)
ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เป็นระบบควบคุการทำงานของแอร์ด้วยไมโครคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการทำงานอัตโนมัติต่างๆ เช่นการปรับอุณหภูมิ ความเย็น ควบคุมรอบมอเตอร์ให้เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้โดยไม่ต้องหยุดการทำงาน เพื่อรักษาอุณหภูมิไม่ว่าห้องจะร้อนขึ้นหรือเย็นลง ซึ่งช่วยให้ประหยัดไฟฟ้าได้มากขึ้น อย่างเช่น แอร์ carrier [pr] ระบบอินเวอร์เตอร์ ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าอินเวอร์เตอร์ทั่วไป 33% ในขณะที่ แอร์ Samsung [pr]  ที่นอกจากจะมีระบบอินเวอร์เตอร์ ทำความเย็นอัตโนมัติ ยังมีเทคโนโลยี Digital Inverter Boost ช่วยให้ความเย็นเร็วขึ้นถึง 43% ได้ทั้งเย็นเร็วทั้งประหยัดไปพร้อมกัน

ท่านใดที่กำลังมองหาแอร์ผนังดีๆ ลองใช้ 3 ข้อนี้เป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อแอร์ผนังกันดู รับรองได้ว่านอกจากจะได้แอร์ที่ประหยัดไฟฟ้าแล้ว ยังเย็นไว เย็นเร็ว และพอดีกับห้องของเราอย่างแน่นอนค่ะ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/APP01 [pr]

7645
ธ.ก.ส. เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน [pr]วางแนวทางช่วยราคาผลผลิตตกต่ำ-ภัยธรรมชาติ

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดนโยบายให้ปี 65 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน ธ.ก.ส. ในฐานะธนาคารของรัฐ พร้อมช่วยเหลือลูกค้าเงินกู้ ทั้งเกษตรกร บุคคล ผู้ประกอบการ และสถาบันเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาผลผลิตการเกษตรได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ราคาผลผลิตตกต่ำ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือมีรายได้ไม่สอดคล้องกับแผนการชำระหนี้เดิม เพื่อกำหนดกระบวนการการบริหารจัดการหนี้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ เริ่มจากการมอบนโยบายให้พนักงานในพื้นที่ไปพบลูกค้าทุกราย โดยมีเป้าหมายเกษตรกรที่ใช้บริการสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. จำนวน 4.83 ล้านราย เพื่อสอบถามข้อมูลการประกอบอาชีพ ที่มาของรายได้มาประเมิน โดยวิเคราะห์ศักยภาพสมรรถนะและความสามารถในการประกอบอาชีพ ความสามารถในการชำระหนี้

หลังจากนั้น จัดกลุ่มลูกหนี้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด โดยแบ่งลูกค้าเป็นกลุ่มตามศักยภาพ เช่น กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพสูง กลุ่มศักยภาพปานกลาง กลุ่มมีเหตุผิดปกติ เป็นต้น เพื่อทำการบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับตารางกำหนดการชำระหนี้ใหม่ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้

อย่างไรก็ดี จะพิจารณาขยายระยะเวลาชำระหนี้ และการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามศักยภาพของลูกหนี้ การเติมสินเชื่อใหม่เพื่อฟื้นฟูอาชีพ รวมถึงพิจารณาช่วยเหลือลูกค้าที่มีหนี้สินเป็นภาระหนัก เนื่องจากรายได้ครัวเรือนลดลงหรือไม่ได้มีรายได้เพียงพอเพราะเหตุผิดปกติ เช่น เสียชีวิต เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ชราภาพ เป็นต้น เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเป็นรายกรณีต่อไป

นอกจากการบรรเทาความเดือดร้อน และลดความกังวลในเรื่องภาระหนี้สินแล้ว ธ.ก.ส. ยังเสริมสภาพคล่องในการลงทุนและการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ผ่านโครงการชำระดีมีคืน วงเงินงบประมาณ 1,200 ล้านบาท ให้กับลูกค้าที่นำเงินมาชำระหนี้ โดยจะทำการคืนดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากลูกค้าโดยตรง 20% ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง ไม่เกินรายละ 1,000 บาท

ล่าสุดมีการคืนดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 622 ล้านบาท มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 850,000 ราย และโครงการนาทีทองลดดอกเบี้ยสู้โควิด โดยจะลดดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมถึงเบี้ยปรับสูงสุด ไม่เกิน 50% ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง ระยะเวลาตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 มี.ค. 65 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินที่กำหนด โดยมีการช่วยเหลือไปแล้วกว่า 1,110 ล้านบาท

7646
แบรนด์ ซันโทรี่ เกาะเทรนด์ห่วงใยดวงตา-ผิว-เสริมภูมิคุ้มกัน ส่งแคมเปญใหม่รุกตลาด ย้ำ 3 สิ่งดีๆ ใน "แบรนด์เบอร์รี่พลัส" ดึง "ต่อ ธนภพ" นั่งแท่นพรีเซนเตอร์คนล่าสุด [pr]

แบรนด์ ซันโทรี่ เดินหน้ารุกตลาดเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น ส่งแคมเปญ "3 สิ่งดีๆ เข้มข้นในขวดเดียว" ย้ำจุดแข็ง "แบรนด์เบอร์รี่พลัส" หนึ่งขวดหลายคุณประโยชน์ ช่วยบำรุงดวงตา ผิว และเสริมภูมิคุ้มกัน มาพร้อมวิตามินเอ 100% วิตามินอี ซี และซิงก์สูง เพื่อตอบอินไซต์ผู้บริโภคยุค Now Normal ที่มีวิถีชีวิตติดจอ และหันมาดูแลตัวเองจากภายในกันมากขึ้น พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ คว้า "ต่อ ธนภพ" หนุ่มหล่อสุดฮอตมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ รวมถึงประกาศเปลี่ยนชื่อเรียกสินค้าแบรนด์น้ำผักผลไม้เข้มข้น จาก "แบรนด์วีต้า" เป็น "แบรนด์" และปรับโฉม แพ็กเกจจิง เพื่อเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในฐานะผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ (Health Essence Market Leader) ภายใต้ชื่อเดียวกันคือ "แบรนด์" เพิ่มความน่าเชื่อถือ จดจำง่าย พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้แคมเปญใหม่และการเปลี่ยนชื่อแบบครบวงจร

นางชลิยา จุลโมกข์ สุชาโต ผู้บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "โควิด-19 ทำให้ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้คนต้องทำงานแบบ WFH เรียนผ่านออนไลน์ เสพสื่อบันเทิงเพื่อคลายเครียดและสร้างความสุขเพิ่มขึ้น ทั้งดูซีรีส์ เล่นเกม ช้อปออนไลน์ และอีกมากมาย ทำให้คนไทยใช้เวลาอยู่หน้าจอเยอะขึ้น ทั้งคอมพิวเตอร์ ทีวี สมาร์ทโฟน เรียกได้ว่ามีวิถีชีวิตติดจอแบบชัดเจน รวมถึงยังกังวลเรื่องสุขภาพ หลายคนหันมาใส่ใจและมองหาอาหารเสริมต่างๆ ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และดูแลเรื่องผิวกันมากขึ้น ดังนั้นแบรนด์ ซันโทรี่ ในฐานะผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพในภูมิภาคเอเชีย เล็งเห็นเทรนด์เหล่านี้ จึงเปิดตัวแคมเปญและภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของแบรนด์เบอร์รี่พลัส โดยได้ "ต่อ ธนภพ" นักแสดงรุ่นใหม่มากฝีมือมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อกระตุ้นให้คนไทยหันมาดูแลสุขภาพ ทั้งดวงตา ผิว และภูมิคุ้มกัน ด้วย 3 สิ่งดีๆ จากแบรนด์เบอร์รี่พลัส ที่มีวิตามินเอ 100% ช่วยในการมองเห็น วิตามินอีสูง ช่วยบำรุงผิว วิตามินซีและซิงค์สูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน"

การเปลี่ยนชื่อกลุ่มสินค้าจาก "แบรนด์วีต้า" มาเป็น "แบรนด์" ในครั้งนี้ บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ชื่อแบรนด์มี
ความสอดคล้องกันเป็นแบรนด์เดียวทุกกลุ่มสินค้า โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์แข็งแกร่งและชัดเจนขึ้น เนื่องจาก "แบรนด์" เป็นชื่อที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้จึงมีส่วนช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค รวมถึงยังช่วยให้จดจำชื่อได้ง่ายขึ้น โดยกลุ่มสินค้าแบรนด์วีต้าที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นแบรนด์ ได้แก่แบรนด์เบอร์รี่พลัส แบรนด์พรุนพลัส และแบรนด์แอคทีฟ 14 ทั้งยังได้เปลี่ยนโฉมแพ็กเกจจิงใหม่ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ทุกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ จะยังคงจุดเด่นเรื่องการคงคุณภาพ และคุณค่าดีๆ สำหรับผู้บริโภคทุกช่วงวัย

บริษัทฯ วางแผนการสื่อสารการตลาดแบบ 360 องศา เพื่อสร้างการรับรู้ถึงการเปิดตัวแคมเปญใหม่ และการเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ในวงกว้าง ครอบคลุมทั้งสื่อออฟไลน์ ออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และสื่อการขายหน้าร้านทั่วประเทศ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว สร้างการจดจำชื่อ และคุณค่าดีๆ ของแบรนด์เบอร์รี่พลัส ในกลุ่มเป้าหมาย และประชาชนทั่วไปได้อย่างทั่วถึง รวมถึงเตรียมจัดกิจกรรมการตลาดหลากหลายรูปแบบ ทั้งจัดโปรโมชัน บูธชิมสินค้า เป็นต้น

"ด้วยสภาพแวดล้อม โรคภัยต่างๆ และความกังวลด้านสุขภาพกาย สุขภาพผิว ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ติดจอ และต้องใช้ดวงตากันหนักมากขึ้น เราหวังว่าแบรนด์เบอร์รี่พลัส และผลิตภัณฑ์แบรนด์จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใช้ดูแลตัวเองจากภายใน ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเราสามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น ทั้งซูเปอร์มาเก็ต ไฮเปอร์มาเก็ตชั้นนำ และช่องทางออนไลน์ Shopee และ Lazada" นางชลิยา กล่าวปิดท้าย

ชมภาพยนต์โฆษณา "3 สิ่งดีๆ เข้มข้นในขวดเดียว" คลิก
ติดตามข่าวสารและโปรโมชันผลิตภัณฑ์แบรนด์ ได้ที่ Facebook fanpage Brand's World Thailand

7647
BBL คาดศก.ไทยปีนี้โต 3-4% ท่องเที่ยวฟื้นยาก [pr]-ดอกเบี้ยทรง,มองโลกยังผันผวน

นายกอบศักดิ์ ภู่ตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวในงานสัมมนา "Economic and Investment Outlook 2022" ในหัวข้อปาฐกถา "ภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนของประเทศไทย"ว่า หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วง 2 ปีติดต่อกัน โดยเศรษฐกิจโลกเห็นการฟื้นตัวในปี 64 โต 6% และปี 65 ที่โต 4.4% ซึ่งประเทศพัฒนาฟื้นตัวก่อน ส่วนประเทศแถบอาเซียนคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในปี 65-66 คาดว่าโต 5.6% และ 6% ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี 64 น่าจะเติบโตราว 1% และในปี 65 เบื้องต้นคาดว่าจะเติบโตได้ 3-4%

สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลงไปมากแล้วในปัจจุลบัน หลังจากเกิดการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 63 ขณะนี้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้นจากหลังจากทั่วโลกได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วราว 63% ของจำนวนประชากรโลก ส่งผลให้มีความเชื่อมั่นในการกลับมาใช้ชีวิตปกติ และส่งให้เกิดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจตามมา โดยเฉพาะประชากรในประเทศที่มีรายได้สูงและประเทศที่มีรายได้ปานกลาง รวมกันแล้วมีการฉีดไวัคซีนถึง 70-80% ดังนั้น จึงทำให้เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัว

ขณะที่ประเทศไทยก็สามารถฉีดวัคซีนให้กับประชากรได้แล้วถึง 117 ล้านเข็ม โดยฉีดครบ 2 เข็มไปแล้วถึง 49 ล้านคนหรือคิดเป็น 74%ของประชากร และเมื่อรวมเด็ก 0-12 ขวบอีก 9 ล้านคนก็จะเท่ากับ 88% ทำให้คนไทยจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น และหากอนาคตมีการระบาดโควิดสายพันธุ์ใหม่ก็น่าจะทำให้ป่วยน้อยหรือไม่เสียชีวิต

สำหรับเศรษฐกิจไทยก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกันหลังโควิด เห็นได้ชัดการส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ภาคการผลิตก็เพิ่มขึ้น ยกเว้นภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับมา ทำให้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก คงต้องรอให้การท่องเที่ยวฟื้นขึ้นก่อน ซึ่งก่อนเกิดวิกฤติโควิดอัตราเข้าพักโรงแรมสูงถึ 80% และตกลงมา 0% ในช่วงโควิดระบาดหนัก แม้ปลายปี 63 จะดีขึ้นมาที่ 35% แต่เมื่อมีการระบาดระลอก 2 ก็ทำให้อัตราเข้าพักตกลงต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 65 ที่รัฐบาลใช้มาตรการ Test&Go เกิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้อัตราเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น 38% ถือว่าสูงสุดในรอบ 2 ปี

อย่างไรก็ตาม หลังจากสถานการณ์โรคระบาดครั้งรุนแรงทำให้โลกเปลี่ยนไป มีความต้องการสินค้ามากขึ้นหลังหยุดสต็อกสินค้ามานานในช่วงการระบาด ทำให้เกิดภาวะอุปทานขาดแคลน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น จึงไม่น่าแปลกที่จะเห็นเงินเฟ้อสูงขึ้นในหลายประเทศ เพราะฐานปีก่อนค่อนข้างต่ำ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางในประเทศต่างๆ โดยคาดว่าในปี 65 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้ง ทำให้ตลาดทุนมีความผันผวนมากขึ้น

นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ความท้าทายหลังโควิดจะมีความผันผวนเกิดขึ้นที่มาจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีไปสู่ดิจิทัล ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน ความขัดแย้งเชิงพื้นที่ของโลก เช่น ยูเครนกับรัสเซีย เกาหลีเหนือ และความผันผวนในตลาดการเงิน หลังจากเศรษฐกิจฟื้น ธนาคารกลางก็จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและถอนสภาพคล่องออกจากตลาด

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนประเทศไทย New S-Curve จะช่วยยกระดับความสามารถเศรษฐกิจในภูมิภาค การใช้นวัตกรรม การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหรือการลงทุนต่างๆ อาทิ โรงไฟฟ้า เขื่อนพลังงานน้ำในลาวหรือเมียนมา ขณะที่ กรุงเทพมหานครจะมี New CBDs และเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ใน 5 ปี จากที่มีโครงการใหม่ อาทิ One Bangkok , ดุสิตเซ็นทรัลปาร์ค , บางซื่อคอมเพล็กซ์ โครงการมักกะสัน เอเชียทีค รวมทั้งจะมีระบบรถไฟฟ้าครบทุกสายตามแผนงาน ขณะที่เวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา อินโดนีเซีย ไม่มีใครมีโครงสร้างพื้นฐานและมีโลเกชั่นได้เท่าไทย ซึ่งถือเป็นจุดแข็ง

นอกจากนี้ไทยยังมีโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ท่าเรือมาบตาพด ท่าเรือแหลมฉบัง สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเชื่อว่านักธุรกิจต่างประเทศก็ทยอยเข้ามาไทยหลังโควิดคลี่คลาย และรัฐบาลยังมีโครงการ Sounthern Economic Corridor (SEC) และท่าเรือน้ำลึกรองรับการเปิดประตู่สู่ด้านตะวันตกเชื่อมเข้าศูนย์กลางเอเชีย ที่มีอินเดียเป็นหัวหอก ก็จะทำให้ไทยสามารถขยายทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก

รองผู้จัดการใหญ่ BBL กล่าวว่า ในด้านการเงินสำหรับไทยในปีนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะภาคท่องเที่ยวที่มีแรงงานอยู่ถึง 10 ล้านคนยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดว่าจะกลับมาเป็นปกติในปี 66 จากนั้นธปท.คงจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้ และพันธบัตร มีอัตราดอกเบี้ยเชื่อมโยงกับอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ

ส่วนเงินบาท มีโอกาสผันผวนในปีนี้ คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวในช่วง 32 ปลายๆถึง 34 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยรับผลกระทบจากการเฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย ส่วนราคาทองคำคาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์

ในช่วงถัดไป ทั้งหมดจะขึ้นกับเฟดว่าจะตัดสินใจอย่างไรในการประชุมเดือน มี.ค.65 โดยเฟดจะลดสภาพคล่อง 5 ล้านล้านเหรียญ และธนาคารกลางยูโร (ECB) อีก 5 ล้านล้านเหรียญ โดยเฟดน่าจะใช้ยาแรงสกัดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ ในด้านตลาดพันธบัตรไทยจะรับผลกระทบหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้กองทุน Money Market Fund รับผลกระทบ ส่วนค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่า เพราะการปรับขึ้นดอกเบี้ยกดดันให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หุ้นก็จะแกว่งตัวผันผวน คริปโตก็มีความผันผวนเช่นกัน ราคาทองคำก็จะแผ่วลงหากเฟดดึงสภาพคล่องกลับ ดังนั้น ปีนี้ทุกสินทรัพย์การลงทุนไม่ง่าย จึงเป็นปีที่ท้าทายการลงทุน

7648
ไรเดอร์ foodpanda [pr] ชวนส่งรักวันวาเลนไทน์ ร่วมมอบความรักความห่วงใยให้แก่น้อง ๆ มูลนิธิบ้านนกขมิ้น

ใครว่าคนเราจะมอบความรักให้กันได้แค่คนรัก ครอบครัว หรือเพื่อนสนิทเท่านั้น เรายังสามารถส่งต่อความรัก ความห่วงใย ให้กับเพื่อนมนุษย์ในสังคมได้ด้วย ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ปีนี้ พี่ ๆ ไรเดอร์ foodpanda รวมถึง "เปาเปา" ขอรวมตัวกันไปส่งความรักความห่วงใย ให้กับน้อง ๆ ที่มูลนิธิบ้านนกขมิ้น

ที่ foodpanda มีกิจกรรมที่สร้างสรรค์และเปิดโอกาสให้ไรเดอร์เข้ามามีส่วนร่วมเสมอ เพราะความสัมพันธ์ระหว่าง foodpanda กับไรเดอร์นั้นไม่ใช่แค่เพียงการทำงานเท่านั้น แต่คือการเป็นพันธมิตรร่วมกัน foodpanda จึงส่งเสริมให้ไรเดอร์ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของ foodpanda คือ การยอมรับในกันและกัน ความเท่าเทียม และความแตกต่างหลากหลาย

ประพัฒน์ ชมภูเขา ไรเดอร์ foodpanda เล่าว่า "วันนี้พวกเรามาด้วยใจ อยากมามอบความรักให้เด็ก ๆ ที่นี่ ลูกผมที่บ้านยังมีผมและแม่ของเขา ผมเองก็โตมากับครอบครัว แต่เด็ก ๆ ที่นี่ไม่มีใครครับ ผมเลยชวนเพื่อน ๆ ไรเดอร์มาทำกิจกรรมกับเด็ก ๆ ด้วยกัน แต่ถ้าใครอยากมา ก็มาได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องเป็นวันวาเลนไทน์ คนเรามอบความรักความห่วงใยให้กันได้เสมอครับ"

"เสร็จจากที่นี่ผมก็จะไปส่งอาหารต่อ การส่งอาหารอร่อย ๆ ก็ถือเป็นการส่งความสุขให้ลูกค้า พอเขาได้รับอาหาร ก็ขอบคุณพวกเราด้วยรอยยิ้ม ขับรถดี ๆ นะพี่ หรือบางทีฝนตกลูกค้าก็บอกว่าค่อย ๆ มาไม่ต้องรีบ แค่นี้ก็เป็นกำลังที่ดีของพวกเราไรเดอร์แล้วครับ" ประพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

นอกจากเหล่าไรเดอร์แล้ว ยังมี "เปาเปา" แพนด้าขนฟูสีชมพูไปส่งความรักสร้างความสุขให้กับเด็ก ๆ ที่บ้านนกขมิ้นด้วยมื้ออร่อยจากร้านค้าพันธมิตรของ foodpanda รวมถึงของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันอีกด้วย

7649
World Today: ประเด็นข่าวต่างประเทศน่าติดตามวันนี้ 11, 2022

ดัชนีดาวโจนส์ [pr]ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 500 จุดในวันพฤหัสบดี (10 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่พุ่งขึ้นสูงกว่าการคาดการณ์จะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันมากขึ้นหลังจากนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงถึง 1% ภายในเดือนก.ค.นี้

-- คาดตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงตามตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยดัชนีฟิวเจอร์ตลาดหุ้นออสเตรเลียและฮ่องกงปรับตัวลงแล้ว

-- บริษัท ทวิตเตอร์ อิงค์ เปิดเผยตัวเลขกำไรและรายได้ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4/2564

ทั้งนี้ บริษัทมีกำไร 33 เซนต์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 35 เซนต์/หุ้น

นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ 1.57 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.58 พันล้านดอลลาร์

ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ใช้บริการรายวันอยู่ที่ระดับ 217 ล้านราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 218 ล้านราย

-- บริษัทเป๊ปซี่โค เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรและรายได้ในไตรมาส 4/2564 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่บริษัทโคคา-โคล่ารายงานตัวเลขกำไรและรายได้ประจำไตรมาส 4/2564 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นกัน

-- พระตำหนักแคลเรนซ์ออกแถลงการณ์ว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์อังกฤษ ทรงมีผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นบวก

แถลงการณ์ระบุว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์จะทำการกักพระองค์ และจะทรงงดพระราชกรณียกิจ

ทั้งนี้ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ซึ่งมีพระชนมายุ 73 พรรษา ทรงติดเชื้อโควิด-19 เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่พระองค์ทรงติดเชื้อครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2563

-- นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนมี.ค. หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี รวมทั้งเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 50% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนมี.ค. จากเดิมที่เคยให้น้ำหนักเพียง 14%

-- Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมทั่วโลกมีจำนวน 404,645,471 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ระดับ 5,799,129 ราย

-- กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียเปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีจำนวน 40,618 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 4,667,554 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.5% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2525 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.2% จากระดับ 7.0% ในเดือนธ.ค.

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 2.0% เมื่อคืนนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเกินคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 16,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 223,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 230,000 ราย

ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว

อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงสูงกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญวันนี้ อังกฤษจะรายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2564 เวลา 14.00 น. ตามเวลาไทย เช่นเดียวกับดุลการค้าเดือนธ.ค. และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.

ด้านมหาวิทยาลัยมิชิแกน จะรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ. ของสหรัฐ เวลา 22.00 น.

7650
โอกาสทอง ‘จุรินทร์’ จัด “จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP [pr]” ให้สินเชื่อพิเศษส่งเสริมสินค้าไทยบุกตลาดใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ ?จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP? พร้อมด้วยนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีโอ โกล. โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

นายจุรินทร์ กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นนโยบายหนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ที่มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นเจ้าภาพร่วมกับ EXIM BANK บสย. และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดโครงการที่ดำเนินการมาถึง 3 Lot คือ Lot 1 จับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับร้านอาหาร โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงินหลายแห่งมาช่วยต่อลมหายใจในรูปแบบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเงื่อนไขพิเศษ และมี บสย. มาช่วยให้บรรลุเป้าหมายซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 64 - ต.ค. 64 สามารถปล่อยกู้ให้กับร้านอาหารทั่วประเทศได้ถึง 2,895 ราย วงเงิน 2,627 ล้านบาท เพราะความร่วมมือของสถาบันการเงินที่ผ่อนปรนจึงเกิดเป็นรูปธรรมได้จริง และ Lot ที่ 2 จับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก ช่วงเดือน ก.ค. 64 - 28 ก.พ. 65 ปล่อยกู้ได้ 611 ราย วงเงิน 4,000 กว่าล้านบาท ครั้งนี้ถือเป็น Lot ที่ 3 จับคู่กู้เงินระหว่าง EXIM BANK กับผู้ประกอบการที่จะบุกตลาด RCEP ซึ่งมีทั้ง SMEs วิสาหกิจชุมชน สตาร์ทอัพ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีโอกาสได้สินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรนพิเศษไปต่อยอด เพื่อบุกตลาด RCEP นำเงินเข้าประเทศต่อไปภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงเอกชนและสถาบันการเงิน

นายจุรินทร์ เพิ่มเติมว่า ตนเป็นผู้หนึ่งที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่เราเป็นเจ้าภาพ ตนเป็นประธานในช่วงที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งมี 20 เรื่องต้องหาข้อสรุป มาถึงประเทศไทยจบมา 7 เรื่อง เหลืออีก 13 เรื่อง เราใช้เวลา 1 ปี บากบั่นมุ่งมั่นในที่สุดได้ข้อสรุปครบทั้ง 20 ข้อบท สามารถลงนามได้ โดยผู้นำประเทศของ 15 ประเทศ สามารถลงนามร่วมกันได้ ทำให้ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคมปีนี้ แม้มีบางประเทศที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากอยู่ระหว่างการดำเนินการภายในประเทศ และคาดว่าจะมีผลใช้บังคับครบทั้ง 15 ประเทศโดยเร็ว ถือว่านับหนึ่งแล้วสำหรับประเทศไทยที่บังคับใช้แต่ 1 มกราคม 2565 ซึ่ง RCEP เป็น FTA ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรรวมกันประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรโลก และ GDP ประมาณ 1 ใน 3 ของ GDP โลก ที่สำคัญการค้าทั้งหมดของไทยที่มีกับโลกเป็นการค้าของไทยกับกลุ่มประเทศ RCEP 14 ประเทศ ถึงกว่าครึ่งหนึ่ง การเตรียมการสำหรับการบุกตลาดอย่างเป็นรูปธรรมมีความสำคัญในการนำรายได้เข้าประเทศต่อไป

นอกจากนี้ ทันทีที่ RCEP บังคับใช้ สินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสมาชิก 39,366 รายการ จะภาษีเป็นศูนย์ และเป็นศูนย์ทันทีถึง 29,891 รายการ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลที่เราจะได้รับ ?จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP? จะเป็นหัวใจสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้สิ่งนี้เป็นจริงได้ในอนาคตอันใกล้ สำหรับการจับคู่กู้เงินครั้งนี้ต้องขอขอบคุณ EXIM BANK ที่มีเงื่อนไขผ่อนปรนมาก และดอกเบี้ยปกติในตลาดประมาณ 5.75% แต่โครงการนี้เหลือแค่ 2.75%

ต่อปีในปีแรก วงเงินรายละไม่เกิน 50 ล้านบาท และที่สำคัญทันทีที่รับคำขอ จะมีคำตอบใน 7 วันทำการ ได้เตรียม

วงเงินไว้กว่า 3,000 ล้านบาท สำหรับโครงการครั้งนี้ และ บสย.มาช่วยค้ำประกันให้ ภายใต้เงื่อนไขของบริษัทที่ผ่อนปรนและที่สำคัญจะไม่จัดเฉพาะวันนี้ จะมีการเดินสายทั้งในกรุงเทพฯ และ 4 ภูมิภาคด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้ SMEs สตาร์ทอัพในต่างจังหวัดได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้คล่องตัวสะดวกขึ้น และจะมีระบบออนไลน์ในการยื่นเงื่อนไขเพื่อให้สะดวกขึ้น

ทั้งนี้ ความตกลง RCEP เป็นความตกลงการค้าเสรี (FTA) ฉบับที่ 14 ของไทย โดยมี GDP รวมมูลค่า 28.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (33.6% ของ GDP โลก) และมูลค่าการค้ารวม 10.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (30.3% ของมูลค่าการค้าของโลก) สำหรับปี 2564 การค้าของไทยกับกลุ่มประเทศ RCEP มีมูลค่ารวม 3.11 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (57.7% ของการค้ารวมของไทย) โดยไทยส่งออกไป RCEP มูลค่า 1.46 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (53.8% ของการส่งออกไทยไปโลก) และไทยนำเข้าจาก RCEP มูลค่า 1.65 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (61.7% ของการนำเข้าไทยจากโลก)

หน้า: 1 ... 508 509 [510] 511