รับทำ SEONo1 ทำ SEO ติดอันดับจริง ผลงานเพียบ

นวัตกรรมสมุนไพรไทย เพื่อชีวิตที่ดีกว่า
เราจะมี “ชีวิต” ได้อย่างไร? ถ้าปราศจาก “สุขภาพที่ดี”
ผลิตภัณฑ์สารสกัดสมุนไพร ประสิทธิภาพสูงที่สุด
ครอบคลุมหลายอาการ "ราคาเข้าถึงได้"
การันตีสมุนไพรไทยด้วยรางวัลเหรียญทอง 21 รางวัล

ขายส่งอุปกรณ์กีฬา ฟุต.ไทย
[pr]

สนใจติดต่อสอบถามได้ครับ
ช่างปาน 0851088797

AIRA แจงปี 64 พลิกเป็นกำไรตามรายได้ [pr]รวมโต-เก็บเกี่ยวผลลงทุนเต็มที่

บมจ.ไอร่า แคปปิตอล (AIRA) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดปี 64 ถือว่ามีความโดดเด่นและมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯสามารถสร้างผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทสามารถปรับตัวดีขึ้นสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอย่างสิ้นเชิง โดยบริษัทฯมีรายได้รวม 1,160 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และพลิกเป็นกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 76 ล้านบาท อีกทั้งงบเฉพาะกิจการของบริษัทในปี 64 มีรายได้รวมเท่ากับ 138 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 73 ล้านบาท

สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการรับรู้รายได้จากค่านายหน้า กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน และรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ โดยมีส่วนรายได้ 632 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากปริมาณการซื้อขายของลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่รายได้จากการให้เช่าและบริการ จำนวน 191 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ค่าเช่าจากสัญญาเช่าดำเนินงานของธุรกิจลีสซิ่ง 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบจากปีก่อน และรายได้ค่าเช่าของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% โดยรายได้ค่าเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากอาคารสำนักงานให้เช่าที่ดำเนินการในนาม บจก.แอสไพเรชั่น วัน ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการให้เช่าพื้นที่ได้ตั้งแต่ปี 63 โดยมีอัตราการเช่าที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้

ส่วนผลการดำเนินของบริษัทร่วมที่ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล มีรายได้รวม 1,665 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 302 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 56 ล้านบาท ซึ่ง AIRA รับรายได้ส่วนแบ่งเงินลงทุน 30% คิดเป็นกำไรจากส่วนแบ่งเงินลงทุน 90 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวโดยตรงทำให้มีผลขาดทุนเล็กน้อย

พร้อมกันนี้ บริษัทฯมีการบันทึกกำไรจากเงินปันผลของบริษัทย่อย 2 บริษัทที่ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 64 เป็นเงินรวม จำนวน 108.92 ล้านบาท จาก บมจ.ไอร่า แฟคตอริ่ง ที่จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.025 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 28.62 ล้านบาท และบล.ไอร่า จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.073 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 80.30 ล้านบาท โดยเงินปันผลดังกล่าวจะบันทึกรับรู้เป็นกำไรเข้ามาในไตรมาส 4/64 นี้

นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIRA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานที่เติบโตเพิ่มขึ้น เป็นการตอกย้ำถึงความศักยภาพความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับทุกบริษัทในเครือ AIRA Group ได้มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนทางการเงินและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินงานของบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจหลักมีการเติบโตและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญหลังจากที่ AIRA Group ได้มีการขยายการลงทุนในแต่ละธุรกิจในแต่ละช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นไปจะเริ่มเข้าสู่ปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตของธุรกิจในเครือ

ทั้งนี้ AIRA Group เป็น Holding Company ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับผู้ถือหุ้นสูง ประกอบกับมีศักยภาพความแข็งแกร่งทางการเงิน โดย ณ สิ้นปี 64 บริษัทฯมีกระแสเงินสด ที่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทเป็น Non-Bank บริษัทเดียวที่ได้รับความเชื่อมั่นจากบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ผ่านการร่วมลงทุนในแต่ละธุรกิจ โดยกลุ่มพันธมิตรดังกล่าวอยู่ในระดับ TOP 3 ของ กลุ่มอุตสาหกรรมแต่ละประเทศ อาทิ บริษัท AIFUL Corporation ประเทศญี่ปุ่น , บริษัท Eugene Investment &Securities ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทการเงินและวัสดุก่อสร้างชั้นนำจากประเทศเกาหลี , บริษัท Kenedix Asia Private Limited บริษัทจัดการกองทุนและบริหารสินทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น , NEC Capital Solutions Limited (NECAP) บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเงินของประเทศญี่ปุ่น หรือแม้แต่ Travelex จากอังกฤษ ที่ดำเนินธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการให้บริการด้านการเงินที่ครอบครบในทุกมิติ

ขายที่ดินจัดสรรใกล้ท่าเรือเชียงแสน-เชียงราย ที่ดินแบ่งขายติดแม่น้ำโขง ที่ดินเชียงรายเหมาะสร้างรีสอร์ท ทีพักตากอากาศ โฮมสเตย์  อำเภอเชียงแสน เชียงราย เหลือ3แปลงสุดท้าย เริ่มต้นตรวละ20000บ

  ที่ดินแบ่งขายติดแม่น้ำโขง  เหมาะทำทีพักตากอากาศ โฮมสเตย์   อำเภอเชียงแสน เชียงราย  เหลือ3แปลงสุดท้าย เริ่มต้นตรวละ20000บ เหมาะทำเกษตร ที่อยู่อาศัย สร้างโรงแรม รีสอร์ท ทีพักตากอากาศ โฮมสเตย์ ใกล้ท่าเรือเชียงราย  เริ่มต้น 100 ตร.ว  ตรว ละ 20,000.-บ 
 ขายที่ดินจัดสรรใกล้ท่าเรือเชียงแสน-เชียงราย   เหมาะทำทีพักตากอากาศ โฮมสเตย์    อำเภอเชียงแสน เชียงราย  เริ่มต้นตรวละ20000บ เหมาะทำเกษตร ที่อยู่อาศัย สร้างโรงแรม รีสอร์ท ทีพักตากอากาศ โฮมสเตย์ ใกล้ท่าเรือเชียงแสน เชียงราย


ที่ดินติดน้ำโขง 3 แปลงสุดท้าย ติดทางสาธารณะกว้าง 8 เมตร รถยนต์เข้าถึง ทุกแปลง ติดเขื่อนป้องกันตลิ่งพังของกรมเจ้าท่า มีบันใดเดินลงแม่น้ำโขง และ ลานกว้างสำหรับจัดกิจกรรมอยู่หน้าพื้นที่ดิน และ ติดกำแพงวัดพระธาตุสองพี่น้อง 

ที่ดินเชียงแสน ติดแม่น้ำโขง เชียงราย พิกัด 47Q, X:616796, Y:2239183 หรือ GPS 20.246691, 100.118275 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย 
ใกล้ท่าเรือพาณิชย์แห่งใหม่ประมาณ 2 กม. ถนน 4 เลน หมายเลข 1290 เส้นเชียงแสน-เชียงของ และ มีถนนตัดใหม่จากเชียงแสนถึงสนามบินเชียงรายใช้เวลาประมาณ 45 นาที ใกล้วัดพระธาตุผาเงา 
ห่างจากที่ว่าการ อ.เชียงแสน 5 กม. ฝั่งลาวเป็นบ้านต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ซึ่งจีนเช่าพื้นที่จะทำสนามบินนานาชาติ  ไฟฟ้าแรงต่ำเข้าถึงพื้นที่ มีแทงค์น้ำระบบประปาหมู่บ้านอยู่ในวัด มีของเพื่อนอีก 3 แปลงโฉนดติดกัน ต้องการขายเช่นกัน 


ที่ติดติดแม่น้ำโขง ใกล้ท่าเรือเชียงแสน
แปลงที่1 เนื้อที่ 200 ตร.ว. ขาย 5 ล้านบาท  
แปลงที่2 เนื้อที่ 386 ตารางวาขาย 7.72ล้านบาท 
แปลงที่3 เนื้อที่ 100 ตร.ว. ขาย2ล้านบาท 

ที่ดินใกล้ท่าเรือเชียงแสน เชียงราย เงื่อนไขพิเศษ
ให้ผ่อนได้60งวด(5ปี)ฟรีดอกเบี้ย 
หรือโอนสด ก็คุยต่อรองราคาตามความพอใจได้ครับ 
อยากขายด่วน โฉนดพร้อมโอนไม่ติดธนาคาร เจ้าของขายเอง 
โฉนดที่ดินเลขที่ 22025, 27648 และ 27649 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย 
 

สนใจ ติดต่อ ประเทือง โทร/ไลน์ 081-594-2158 หากต้องการจริง ก็ต่อรองราคาส่วนตัวกันยินดีคุยพิเศษ

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://kaaiduan.com/ที่ดินติดแม่น้ำ/ที่ดินแบ่งขายติดแม่น้ำ/ [pr]

คำค้น
ที่ติดแบ่งขายติดแม่น้ำโขงเชียงแสน-เชียงราย, ทีดินติดแม่น้ำโขงเหลือ3แปลงสุดท้าย, ทีดินติดแม่น้ำโขงเชียงแสนเหมาะทำเกษตร, ขายที่ดินเชียงรายเหมาะสร้างที่อยู่อาศัย-เชียงแสน, ที่ติดแบ่งขายติดแม่น้ำโขงเชียงแสนเหมาะสร้างโรงแรม,
,ที่ดินติดแม่น้ำโขงเชียงแสนเหมาะสร้างรีสอร์ท,  ที่ดินเชียงแสน-เชียงรายทีพักตากอากาศติดแม่น้ำโขง, ทีดินติดแม่น้ำโขงเชียงรายเหมาะสร้างโฮมสเตย์, ขายที่ดินใกล้ท่าเรือเชียงแสน-เชียงราย,

 

หลังทรง ๆ มาพักหนึ่ง ตลาด Mini MPV หรือรถยนต์เอนกประสงค์สขนาดเล็ก กลับมาดุเดือดอีกครั้ง เพราะ โตโยต้า ประกาศเปิดตัว Veloz ที่มากับหน้าตาดุดัน เท่กว่า Avenza เป็นไหน ๆ แถมราคาแค่ 7.95-8.75 แสนบาทนอกจาก โตโยต้า จะตั้งเป้าอย่างท้าทายด้วยการหวังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดนี้ ซูซูกิ กับ มิตซูบิชิ สองแบรนด์ผู้ครองตลาดนี้มาก่อนย่อมยอมไม่ได้แน่ ๆ โดยเฉพาะ มิตซูบิชิ ที่เป็นเบอร์หนึ่งในตลาดนี้ด้วยรุ่น Xpanderแม้จำนวนเด็กเกิดใหม่จะลดลงเรื่อย ๆ รวมถึงอัตราการแต่งงานที่ลดลงเช่นกัน แล้วทำไมรถ Mini MPV ที่ลูกค้าส่วนใหญ่คือคนเริ่มมีครอบครัว ถึงถูกให้ความสำคัญจากค่ายผู้ผลิตรถยนต์มากขึ้นโตโยต้า กับการเปิดตัวรุ่น Velozวันที่ 24 ก.พ. 2565 โตโยต้า เปิดตัวรุ่น Veloz โดยทางค่ายนิยามรถยนต์รุ่นนี้ว่า Premium Crossover มีห้องโดยสารกว้างเทียบเท่ารถยนต์ขนาด C-Segment (รุ่น Altis) แต่มี 7 ที่นั่ง และใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 106 แรงม้า และใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT มี 2 รุ่นย่อย แตกต่างที่การตกแต่งประกอบด้วย

• Premium ราคา 875,000 บาท
  
• Smart ราคา 795,000 บาท
  

หากว่ากันจริง ๆ โตโยต้า Veloz ควรจะเป็นรถยนต์ในกลุ่ม Mini MPV ที่ก่อนหน้านี้ทางค่ายใช้รุ่น Avanza ในการทำตลาด รวมถึงรุ่น Sienta ที่มาพร้อมกับประตูบานเลื่อนแบบรถตู้ 2 ข้าง ตอบโจทย์ลูกค้าที่อยากได้รถตู้ แต่ขนาดไม่ใหญ่นักโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันตลาด SUV และ MPV มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ชี้ให้เห็นถึงการที่ลูกค้ากำลังมองหารถเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย โดย Veloz จะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าครอบครัว และกลุ่มธุรกิจ SME ด้วยราคาที่ง่ายต่อการเป็นเจ้าของอวดยอดจองสิทธิ์มากกว่า 1,000 คันทั้งนี้ โตโยต้า ได้เปิดยอดจองสิทธิ์รุ่น Veloz มาตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565 โดยนับถึงวันที่ 23 ก.พ. 2565 มียอดจองสิทธิ์เข้ามามากกว่า 1,000 คัน ที่สำคัญ โตโยต้า ยังวางเป้าหมายเป็นผู้นำในตลาด Mini MPV เพราะถึงจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถมีที่ยืนในตลาดนี้ได้ไล่ตั้งแต่ Avanza รถยนต์ Mini MPV ที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 แต่กลับไม่เป็นที่นิยมนัก เพราะหน้าตาอาจไม่ดึงดูดเท่าคู่แข่ง และตลาดนี้ค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับรถยนต์ประเภทอื่น แต่ถึงอย่างไร โตโยต้า ยังนำ Avanza โฉมใหม่เข้ามาทำตลาด และมีกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายไม่มากก็น้อยขณะเดียวกัน โตโยต้า ยังเปิดตัว Sienta เมื่อปี 2557 โดยวางตำแหน่งเป็นรถ Mini MPV ทางเลือก ด้วยจุดเด่นประตูบานเลื่อนเหมือนรถตู้เพียงรุ่นเดียวในตลาด เจาะตลาดครอบครัวได้เป็นอย่างดี แถมมี Minorchange หนึ่งครั้งเพื่อกระตุ้นยอด แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝันเช่นเดิมเอนกประสงค์ไม่พอ หน้าตาต้องได้ด้วยเว็บไซต์ Headlightmag [pr] รายงานว่า ภาพรวมยอดขายรถกลุ่ม Mini MPV ในปี 2562 รวมราว 30,000 คัน มีผู้นำเป็น มิตซูบิชิ รุ่น Xpander ที่มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงตัวห้องโดยสารที่ใหญ่ ตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี และในปี 2563 มีการเปิดตัวรุ่น Xpander Cross ที่มาพร้อมชุดแต่งให้เป็นรถยกสูงสไตล์ SUV เพิ่มอีกค่ายที่ทำตลาด Mini MPV คือ ซูซูกิ ที่บุกมาตั้งแต่ปี 2556 กับรุ่น Ertiga โดยได้รับความนิยมเพราะหน้าตาที่โดดเด่นเช่นกัน ทำให้ทางค่ายมีการทำ Minorchange และเปิดตัวโฉมที่ 2 ในปี 2562 รวมถึงเปิดตัวรุ่น XL7 ที่มาพร้อมชุดแต่งยกสูงสไตล์ SUV เพิ่มเหมือน มิตซูบิชิที่ลืมไม่ได้คือ ฮอนด้า ทำตลาด Mini MPV ด้วยรุ่น Mobilio ควบคู่ไปกับการทำตลาดรุ่นยกสูง BR-V แต่อาจไม่เป็นที่นิยมนักเมื่อเทียบกับ มิตซูบิชิ และ ซูซูกิ โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ รถยนต์ Mini MPV ในตลาดไทยทั้งหมดเป็นการนำเข้าจากอินโดนีเซีย เพราะที่นั่นรถยนต์ประเภทนี้เป็นที่นิยม ผ่านการมีจุดเด่นที่นั่งได้หลายคน และราคาประหยัดเจ้าตลาดจะรับน้องใหม่ Veloz อย่างไรเมื่อเป็นผู้นำ มิตซูบิชิ ก็พร้อมจะรับน้องใหม่อย่าง Veloz ด้วยการเตรียมเปิดตัวรุ่น Minorchange รอบที่ 2 ของ Xpander ในเดือน มี.ค. 2565 ต้องรอลุ้นกันว่า ราคา และหน้าตา จะเป็นอย่างไร รวมถึงเรื่องเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังจะเปลี่ยนไปหรือไม่ส่วน ซูซูกิ และ ฮอนด้า ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะออกโปรโมชัน หรือกิจกรรมทางการตลาดมารับน้อง Veloz หรือไม่ แต่การพลิกโฉมจากรถยนต์หน้าตาธรรมดาอย่าง Avanza กลายเป็น Veloz ที่มีสไตล์ดุดัน ตามทันเพื่อน ๆ ในตลาด รวมถึงการวางราคาออกมาเร้าใจ แสดงให้เห็นว่า โตโยต้า เอาจริงในตลาด Mini MPV แน่นอนสำหรับราคารถยนต์ Mini MPV รุ่นต่าง ๆ มีดังนี้

• มิตซูบิชิ Xpander ราคา 7.89-8.63 แสนบาท / Xpander Cross ราคา 9.19 แสนบาท
• ซูซูกิ Ertiga ราคา 6.59-7.25 แสนบาท / XL7 ราคา 7.79 แสนบาท
• ฮอนด้า Mobilio ราคา 6.59-7.65 แสนบาท / BR-V ราคา 7.65-8.35 แสนบาท
• โตโยต้า Sienta ราคา 7.65-8.75 แสนบาท / Veloz ราคา 7. [pr]95-8.75 แสนบาท
  

สรุปMini MPV กลับมาแข่งขันกันดุเดือด และทุกค้ายต่างชูการออกแบบให้เป็นรถยนต์กึ่ง SUV ที่กำลังเป็นกระแสตอนนี้ แต่ด้วยรถยนต์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ผู้ซื้อเป็นคนมีครอบครัว และปัจจุบันคนกลุ่มนี้ลดลงเรื่อย ๆ ผ่านอัตราการแต่งงาน และมีลูกที่น้อยลง ก็น่าสนใจว่าอาจเหลือแค่กลุ่มลูกค้า SME จะเพียงพอต่อการทำตลาดหรือไม่

MyMainer.com [pr]

ติดต่อ : 
Email : info@cctgroup.co.th
เบอร์โทรศัพท์ : 0816428556-7
Line ID : Lakkana99
Website : https://www.cctgroup.co.th [pr]