แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - deam205

หน้า: 1 ... 109 110 [111] 112 113 114
1651
เลขาฯยูเอ็นวิตกรัสเซียรับรองเอกราช 2 แคว้นกบฏ ร้องทุกฝ่ายใช้สันติวิธี [pr]

นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลในวันจันทร์ (21 ก.พ.) ต่อกรณีที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียให้การรับรองเอกราชกับสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ (LPR) และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์ (DPR) ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคดอนบาสของยูเครน

ทั้งนี้ สำนักข่าวซินหัวเปิดเผยถ้อยแถลงของนายสเตฟาน ดูจาร์ริค โฆษกของนายกูเตอร์เรสว่า นายกูเตอร์เรสรู้สึก "วิตกกังวลอย่างยิ่ง" ต่อการตัดสินใจของรัสเซียเกี่ยวกับสถานะของโดเนตสก์และลูฮันสก์

อย่างไรก็ดี นายกูเตอร์เรสได้ขอให้ทุกฝ่ายใช้สันติวิธีคลี่คลายความขัดแย้งในภาคตะวันออกของยูเครนตามข้อตกลงมินสค์ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ให้การรับรองในข้อมติที่ 2202 เมื่อปี 2558

"ท่านเลขาธิการกูเตอร์เรสเล็งเห็นว่า การตัดสินใจของรัสเซียนั้นละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของยูเครน ตลอดจนขัดต่อหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ" นายดูจาร์ริคระบุในแถลงการณ์

ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันปธน.ปูตินได้ลงนามในคำสั่ง 2 ฉบับ โดยรับรองให้สาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์เป็นรัฐเอกราชและมีอธิปไตยเป็นของตนเอง

"ผมคิดว่าจำเป็นต้องตัดสินใจในเรื่องที่สมควรกระทำมาเนิ่นนานแล้ว โดยขอรับรองเอกราชและอธิปไตยของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์โดยให้มีผลในทันที" ปธน.ปูตินระบุในการแถลงต่อประชาชนผ่านทางโทรทัศน์

 

1652
'เอส ไอ จี' ร่วมโครงการ 'Upcycling, Upstyling' เพื่อสร้างคุณค่าผลิตภัณฑ์ [pr]รีไซเคิลจาก 'กล่องยูเอชที'

เอส ไอ จี คอมบิบล็อค ประเทศไทย (SIG Combibloc Thailand) เป็นผู้นำการให้บริการระบบและโซลูชั่นชั้นนำสำหรับบรรจุภัณฑ์ปลอดเชื้อ (กล่องยูเอชที) ในการนำผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มไปสู่ผู้บริโภคทั่วโลกในวิธีที่ปลอดภัย ยั่งยืน และแนวทางที่คุ้มค่า ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์และความสามารถทางด้านนวัตกรรมที่โดดเด่นของบริษัทฯ ทำให้สามารถจัดหาโซลูชั่นแบบครบวงจรสำหรับผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังเป็นผู้ผลิตที่พยายามก้าวให้ทันกับความท้าทาย ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างมูลค่าจากผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการรีไซเคิลกล่องยูเอชที ทำให้เกิดมูลค่าต่อสังคม สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางสู่ความยั่งยืนที่เอส ไอ จี ทั่วโลกยึดมั่นที่เรียกว่า 'WAY BEYOND GOOD'

เอส ไอ จี ได้ถ่ายทอดปณิธานนี้ร่วมกับพันธมิตร ด้วยการเข้าร่วมโครงการ อัพไซคลิง อัพสไตล์ลิ่ง (Upcycling Upstyling) โดยการสนับสนุนของ พีทีที โกล. เคมิคอล หรือ PTTGC ด้วยการรวบรวมกล่องยูเอชที่ใช้แล้วอย่างเป็นระบบ นำมาจัดเก็บอย่างถูกวิธี ก่อนเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การนำมาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือที่เรียกว่า Upcycling ตามหลักการของแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มุ่งเน้นการลดขยะของเสีย ยืดอายุการใช้งาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการนำกลับมาใช้ใหม่ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในภายหลังตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การผลิต การนำไปใช้ ไปจนถึงการทำลายหลังเสร็จสิ้นการใช้งานหรือหมดอายุ อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณขยะกล่องยูเอชที่ใช้แล้ว ซึ่งถ้าจัดการอย่างไม่ถูกวิธีแล้ว อาจจะส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถ้านำไปเผา ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นต้นเหตุของ ภาวะโลกร้อน เป็นต้นรวมถึงตอบสนองต่อความใส่ใจในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน

กล่องยูเอชที่ใช้แล้วจาก เอส ไอ จี จะนำมาเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและนำมาสร้างสรรค์ด้วยการออกแบบที่เป็น Eco-Design ผสมผสานกับไอเดียในการนำพลาสติกและอลูมิเนียมฟอยล์ในกล่องยูเอชทีที่ใช้แล้ว ด้วยฝีมือของนักออกแบบชั้นนำระดับแนวหน้า เพื่อสร้างชิ้นงานที่มีมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ และขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

นายวัชรพงศ์ อึงศรีสวัสดิ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอส ไอ จี คอมบิบล็อค กล่าวว่า 'การร่วมกับโครงการอัพไซคลิง อัพสไตล์ลิ่ง ถือเป็นกระบอกเสียงที่เอส ไอ จี จะได้สื่อสารกับสังคมออกไปใน วงกว้างให้เห็นว่าทุกคนสามารถร่วมกันได้ แม้จะเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างกล่องยูเอชทีที่ใช้แล้วไม่ใช่ขยะ แต่เป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพียงแค่จัดเก็บอย่างถูกวิธี ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าและใช้ได้จริงแล้ว ยังเป็นหนทางของการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อจะนำพาชีวิตไปสู่คุณภาพที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย'

บริษัท เอส ไอ จี คอมบิบล็อค ระดับโลกและในประเทศไทย เรามุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องมายาวนานมากกว่าทศวรรษ ในเส้นทางสู่ความยั่งยืน โดยเราได้ร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน.จากชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศไทย โดยจัดทำโครงการต่างๆ ซึ่งมีเป้าหมายที่ดำเนินการเพื่อสิ่งแวดล้อมสู่ความยั่งยืน 3 แนวทางอันได้แก่

ความรับผิดชอบต่อธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (Responsible company)
ความใส่ใจด้านผลิตภัณฑ์ ในการคิดค้น สร้างนวัตกรรมและโซลูชั่นที่ตอบโจทย์สร้างความยั่งยืน (Responsible product)
แหล่งที่มาของวัตถุดิบที่ผ่านการรับรองคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาผลิตบรรจุภัณฑ์และการบริการที่ส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อาหาร (Responsible sourcing)
นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ของเอส ไอ จี ยังได้ผ่านการรับรองจาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งเราได้ดำเนินการ มาตั้งแต่ปี 2010 จนถึงปัจจุบัน กล่องบรรจุภัณฑ์ของเอส ไอ จี คอมบิบล็อค ได้รับเครื่องหมายคาร์บอนฟุตปริ้นต์ Reduction ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลา 9 ปี จากการที่เราลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 2% ในกระบวนการผลิตกล่องยูเอชที ซึ่งสอดคล้องไปกับนโยบายระดับประเทศของไทย ที่ต้องการลดคาร์บอนภายใน 20-25% ในปี 2573

นอกเหนือจากนี้ เราได้วางกลยุทธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวกับลูกค้าและคู่ค้าของเราที่จะส่งเสริมและผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สอดคล้องนโยบายและวิสัยทัศน์ของบริษัทลูกค้าที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่ากล่องบรรจุภัณฑ์จากเอส ไอ จี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

1653
นายกฯ เร่งเดินหน้าฟื้นศก.-ลงทุน [pr] หลัง GDP ไทยปี 64 โตกว่าคาด แม้เผชิญแรงกดดันโควิด

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4/64 และทั้งปี 64 จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์แล้ว ซึ่งพบว่าเศรษฐกิจไทยปี 64 เติบโตได้ 1.6% ซึ่งสูงกว่าที่ สศช. ได้ประมาณการไว้เดิมที่ 1.2%

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีพอใจกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 64 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยเผชิญกับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงเช่นเดียวกับทุกประเทศทั่วโลก โดยรัฐบาลได้พยายามทุกวิถีทางอย่างเต็มที่ในการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งการเติบโตในหลายส่วนก็เป็นผลจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น การบริโภคของประชาชนที่ดีขึ้นจากที่รัฐบาลมีมาตรการเยียวยา แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย การบริโภค และการลงทุนของรัฐที่เติบโตจากการเร่งรัดการเบิกจ่าย ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจากการทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวภายใต้มาตรการที่ปลอดภัย ควบคู่ไปกับการดูแลประชาชน ทั้งด้านการป้องกันและรักษาจากโรคโควิด-19

สำหรับในปี 65 ที่สภาพัฒน์ได้ประเมินว่า แนวโน้มเศรษฐกิจจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายด้านแต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังนั้น นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าในปี 65 นี้รัฐบาลจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของโควิด-19 ควบคู่ไปกับการดูแลการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด โดยรัฐบาลจะรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวมาได้แล้วตั้งแต่ปลายปี 64 ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายในครัวเรือน ที่จะมีการดูแลกลไกต่างๆ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาสินค้า และค่าครองชีพของประชาชน แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนให้ต่อเนื่อง ฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว เร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ ทั้งส่วนของรายจ่ายประจำและการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ขณะที่การลงทุนเอกชนจะดำเนินนโยบายสนับสนุนทั้งการฟื้นตัวและลงทุนของนักลงทุนไทย และการดึงดูดลงทุนของต่างชาติ ตลอดจนการขับเคลื่อนการส่งออก ที่ปีนี้จะยังคงได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายกระทรวงการคลัง และ สศช. เฝ้าติดตามประเด็นความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกที่อาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยต่างๆ เช่น กรณีที่เกิดไวรัสกลายพันธุ์ นโยบายเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารประเทศต่างๆ ที่เริ่มปรับตัวตามแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วโลก ตลอดจนความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดในบางพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลมีนโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป

1654
กบอ. ปักหมุดลงทุนไฮสปีดเทรน [pr]-สนามบินอู่ตะเภา-มาบตาพุด-แหลมฉบังตามแผน

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน เป็นประธานว่า ที่ประชุม กบอ. รับทราบ ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการที่สำคัญ ๆ ได้แก่ การขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานหลัก ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทนรัฐ-เอกชน (PPP) ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงฯ สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือแหลมฉบัง โดยทั้ง 4 โครงการมีความก้าวหน้าการก่อสร้างและส่งมอบพื้นที่โครงการต่อเนื่อง พร้อมผลักดันให้ทุกโครงการดำเนินการลงทุนได้ตามแผนภายในปี 2565 นี้

นายคณิศ กล่าวว่า วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินงานใน EEC ให้ล่าช้าออกไปราว 2-3 เดือน โดยขณะนี้เริ่มเข้าสู่ระยะที่มีการก่อสร้างของภาคเอกชน ทั้งนี้มีการประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะกลับคืนสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตจะใช้เวลาฟื้นตัว 15 เดือน หรือราวกลางปี 66 ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเพิ่มเป็นปีละ 30 ล้านคนจะใช้เวลา 27 เดือนหรือราวกลางปี 67

สำหรับความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่คณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาฯ ได้ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และเอกชนคู่สัญญากำลังดำเนินการอยู่ ดังนี้

1) กระทรวงคมนาคมให้เอกชนสร้างส่วนทับซ้อนงานโยธาของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงบางซื่อถึงดอนเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขสัญญาโดยไม่เป็นภาระทางการเงินของภาครัฐ

2) การบรรเทาผลกระทบโควิด-19 อย่างเหมาะสมให้กับเอกชน ซึ่งแม้ขณะนี้จำนวนผู้โดยสารจะเริ่มกลับมา แต่ยังห่างจากการประมาณการตามการศึกษาที่ 80,000 คนต่อวัน โดยมีเพียง 20,000-30,000 คนต่อวัน ทั้งนี้การแก้ไขสัญญาจะให้ความสำคัญกับการปรับระยะเวลาค่าสิทธิ์เป็นสำคัญ เช่น การขยายระยะเวลาผ่อนชำระ โดยเร่งรัดดำเนินการเจรจาในข้อเสนอเพิ่มเติมของเอกชนคู่สัญญาให้ได้ข้อยุติโดยเร็วก่อนดำเนินการ โดยภาครัฐไม่เสียประโยชน์ และเป็นธรรมต่อภาคเอกชนบนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนในโครงการฯ ร่วมกัน

3) การส่งมอบพื้นที่ช่วงสุวรรณภูมิถึงอู่ตะเภา ปัจจุบัน รฟท.ได้ส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนคู่สัญญาแล้ว 3,493 ไร่ หรือได้เกือบครบทั้งหมด 100% แล้ว เหลือพื้นที่ส่งมอบเพียง 20 ไร่ หรือประมาณ 0.57% ที่เจ้าของพื้นที่เดิมยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ รฟท.จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.65

ส่วนความก้าวหน้าเมืองการบินภาคตะวันออก: สนามบินอู่ตะเภา ดังนี้

1) การจัดสิทธิประโยชน์ 10 ปีแรกให้กับโครงการเมืองการบินภาคตะวันออกเพื่อให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone) เทียบเท่าสิงคโปร์ ดูไบ และฮ่องกง ซึ่งจะมีการสนับสนุนการเป็นเมืองท่องเที่ยวและธุรกิจ 24 ชั่วโมงเป็นเขตปลอดอากรและสรรพสามิต รวมทั้งภาษีสรรพากรในบางกรณี รวมทั้งจะมีการสนับสนุนด้านการออก VISA และใบอนุญาตการทำงานในลักษณะ 5+5 ปี สำหรับผู้ทำงานและนักลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก

2) การจัดตั้งบริษัท อีอีซี พัฒนาสินทรัพย์สนามบิน จำกัด โดยอีอีซีจะถือหุ้น 100% ให้เป็นหน่วยงานพัฒนา MRO ร่วมกับเอกชน โดยการทำงานจะมีการประสานงานใกล้ชิดกับ UTA ที่พัฒนาสนามบิน ให้เป็นเมืองการบินภาคตะวันออกโดยสมบูรณ์ เนื่องจากมีภารกิจเพิ่มขึ้นจึงต้องมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบโดยตรง และการตั้งเป็นบริษัทลูกจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานมากขึ้น

"Special Economic Zone จะมีศูนย์แสดงศิลปกรรม ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 10 ราย ร้านค้าปลอดภาษี ห้องประชุม ไว้รองรับนักธุรกิจที่มานัดเจอกันแล้วก็บินต่อไปที่อื่น" นายคณิศ กล่าว
ด้านความก้าวหน้า โครงการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เตรียมความพร้อมดึงดูดการลงทุนฐานนวัตกรรมขั้นสูง และจูงใจนักลงทุนทั่วโลกเข้าสู่พื้นที่ อีอีซี ปัจจุบันโครงสร้างภายนอกแล้วเสร็จ 100% มีเพียงการปรับภูมิทัศน์ และติดตั้งครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2565 เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในพื้นที่ อีอีซี ที่สนับสนุนการจัดประชุมผู้นำเอเปคที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ อีกด้วย

โครงการธีมพาร์คและสวนน้ำ "โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส" แห่งแรกของโลก ซึ่งเป็นการลงทุนจาก บริษัท โซนี่ พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ผู้ผลิตภาพยนตร์ระดับโลก ที่จะเป็นเมืองสวนสนุก เครื่องเล่นอัจฉริยะมาตรฐานโลก สามารถเปิดระยะที่ 1 ได้ในวันที่ 8 เมษายน 2565 นี้ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก (หากสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายด้วยดี) โดยโครงการฯ นี้ จะทำให้เกิดการสร้างงานในพื้นที่ กระตุ้น ฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 ทำให้ อีอีซีและประเทศไทยเป็นจุดหมายสำหรับนักลงทุนนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น เป็นฟันเฟืองสำคัญสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ที่ประชุม กบอ. รับทราบความก้าวหน้าโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) ซึ่ง สกพอ. ได้ประสานงานร่วมกับ บมจ.ปตท. (PTT) ศึกษาแนวทางขับเคลื่อนโครงการที่ได้หารือร่วมกับกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการห้องเย็น อบจ.ระยอง เพิ่มเติม นำไปสู่การปรับแผนการดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจร โดย ปตท. จะสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุน และเป็นผู้ดูแลทั้งระบบตั้งแต่ การผลิต รับรองมาตรฐาน การจัดตั้งตลาดกลาง รวมถึงรองรับการซื้อขายกับต่างประเทศ ผ่าน e-commerce และ e Auction พัฒนาแพคเกจบรรจุภัณฑ์ และจัดส่งสินค้า โดยเน้นทุเรียนคุณภาพและพรีเมียม พร้อมกันนี้จะขยายความจุห้องเย็น จากเดิม 4,000 ตัน เป็น 10,000 ตัน เพื่อเป็นกลไกรักษาเสถียรภาพของราคา รสชาติ ความสดของทุเรียน เพิ่มมูลค่าให้ทุเรียนพรีเมียมขายได้ตรงตลาดผู้บริโภคตลอดทั้งปี โดยคาดว่าการดำเนินงานทั้งหมดจะแล้วเสร็จ และสามารถเปิดภายในปี 2566 ซึ่งโครงการฯ นี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกร/ชาวสวนมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกร และสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตในท้องถิ่น ทำให้เกษตรกร ชุมชน มีคุณภาพชีวิตและรายได้ดีขึ้นต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบโครงการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนและผู้ค้ารายย่อยในอีอีซี เน้นขยายช่องทางจำหน่าย เพิ่มความสามารถการขาย จัดหาแหล่งเงินทุนให้ผู้ค้ารายย่อย ชุมชน สร้างเครื่องมือการตลาด นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ส่งเสริมสินค้าโอทอปตรงความต้องการตลาดมากยิ่งขึ้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายและสินค้าเป็นที่นิยมในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัดระยอง เช่น ทุเรียนทอดกรอบ เครื่องเงิน จังหวัดชลบุรี เช่น พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน ข้าวกล้อง สบู่เปลือกมังคุด จังหวัดฉะเชิงเทรา เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ หมูแท่งอบกรอบ เป็นต้น

1655
เอส เอฟ ร่วมกับ โอมาซ เสริมความมั่นใจ [pr] ให้ดูหนังปลอดภัย ด้วยผ้ารองกันไวรัสรุ่นใหม่ ที่โรงภาพยนตร์ "The Bed Cinema by Omazz(R)"

บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โอมาซ (ประเทศไทย) จำกัด (Omazz(R)) ร่วมสร้างความมั่นใจ ให้กับผู้ใช้บริการโรงภาพยนตร์ "The Bed Cinema by Omazz(R)" ด้วยการเสริม "Omazz Viroclean" ผ้ารองกันไวรัส Covid-19 ที่มีคุณสมบัติต่อต้านยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัสรวมถึง Covid-19 กว่า 98% โดยผ่านการทดสอบและได้รับมาตรฐานด้านคุณภาพจากสหราชอาณาจักร ทั้งให้ความอ่อนนุ่มสบายด้วยเส้นใยจากธรรมชาติ โดยเริ่มติดตั้งที่โรงภาพยนตร์ "The Bed Cinema by Omazz(R)" เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์ ทุกเตียงนอน ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

นายเดชา ธรรมชัยพิเนต ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "โรงภาพยนตร์ "The Bed Cinema by Omazz(R)" เป็นหนึ่งในโรงภาพยนตร์พิเศษของ เอส เอฟ ที่ประสบความสำเร็จ และมีกระแสที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทุกครั้งที่มีภาพยนตร์ใหม่ๆเข้าฉาย The Bed Cinema จะเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีผู้ชมเต็มทุกที่นั่งในเกือบทุกรอบ เนื่องจากการให้ประสบการณ์ชมภาพยนตร์ที่แตกต่างจากโรงภาพยนตร์ทั่วไป สำหรับช่วงที่ผ่านมานอกจากมาตรการ "ดูแลด้วยใจ" ที่ทาง เอส เอฟ ดูแลลูกค้าที่มาใช้บริการแล้ว ทุกโรงภาพยนตร์ยังมีการฆ่าเชื้อด้วยเครื่องพ่นโอโซนและรังสียูวีผ่านระบบปรับอากาศแล้ว ในส่วนของโรงภาพยนตร์ "The Bed Cinema by Omazz(R)" เราได้ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรคของบริษัท "BIOZONE" ซึ่งเป็นผู้นำด้านเครื่องฟอกอากาศที่ได้มาตรฐานระดับโลก ที่มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ได้มากกว่า 99.99% และล่าสุดเพื่อสร้างความั่นใจและความปลอดภัยให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ ทางโอมาซ ได้สนับสนุน "Omazz Viroclean" ผ้ารองกันไวรัสรุ่นใหม่ ที่ได้นำมาติดตั้งให้กับทุกเตียงในโรงภาพยนตร์ ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับความร่วมมืออีกครั้งของโรงภาพยนตร์แห่งนี้"

นายอัครพล คลังอัครทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอมาซ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า "จากการร่วมมือกันระหว่าง โอมาซ และ เอส เอฟ ในการจัดทำโรงภาพยนตร์ "The Bed Cinema by Omazz(R)" โรงภาพยนตร์ที่ยกระดับประสบการณ์ชมภาพยนตร์ด้วยเตียงปรับระดับไฟฟ้า รุ่น Adjusto(TM) เพื่อตอบโจทย์ความสบายสูงสุดกับฟังก์ชันมากมายให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ดูหนังที่สบายที่สุด นับว่าเป็นความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จ และถูกพูดถึงในวงกว้าง จนกลายเป็นโรงภาพยนตร์ในใจของใครหลายๆคน ทั้งนี้ จากสถานการณ์ที่ผ่านมา โอมาซ เห็นความสำคัญด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของลูกค้า เราจึงได้นำ "Omazz Viroclean" ผ้ารองกันไวรัสนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของ โอมาซ ที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัสรวมถึง Covid-19 กว่า 98% ซึ่งผ่านการรับรองจากสถาบันตรวจสอบมาตรฐานระดับสากล นำมาติดตั้งเพิ่มเติมที่โรงภาพยนตร์ "The Bed Cinema by Omazz(R)" ทุกเตียงนอน ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ชมภาพยนตร์ที่พิเศษ ด้วยความสุขและความมั่นใจมากยิ่งขึ้น"

เอส เอฟ พร้อมให้บริการด้วยความมั่นใจภายใต้มาตรการ "ดูแลด้วยใจ" ที่โรงภาพยนตร์ "The Bed Cinema by Omazz(R)" และโรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ ทุกสาขา ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่านแอปพลิเคชัน SF Cinema, www.sfcinema.com [pr] พร้อมทั้งสามารถติดตามข่าวสารและสอบถามรายละเอียดได้ผ่านโซเชียลมีเดีย WeLoveSF หรือ #SFcinema

1656

สำนักข่าวเดอะวอชิงตันโพสต์ รายงานโดยอ้างจดหมายจากทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (UN) ว่า รัสเซียมีแผนสังหาร [pr]และกักขังผู้คัดค้านในยูเครน หากรัสเซียบุกยูเครนได้สำเร็จ

ทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติได้ส่งจดหมายดังกล่าวถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนประจำสหประชาชาติ โดยมีเนื้อหาว่า รัสเซียมีแผนจัดการกับกลุ่มผู้คัดค้านชาวรัสเซียและเบลารุสในยูเครน รวมถึงนักข่าว นักเคลื่อนไหวต่อต้านคอรัปชัน ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและชาติพันธุ์ ไปจนถึงคนกลุ่ม LGBTQI+

นอกจากนี้ จดหมายยังระบุด้วยว่า สหรัฐ "มีข้อมูลที่เชื่อถือได้" ว่ารัสเซียอาจใช้กำลังรุนแรงถึงชีวิตเพื่อสลายการชุมนุมอย่างสันติจากพลเมืองด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ สหรัฐได้เตือนให้บรรดาชาติพันธมิตรทราบว่า รัสเซียมีแผนบุกหลายเมืองในยูเครน ไม่ใช่เพียงกรุงเคียฟ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของยูเครน โดยเมืองที่อาจถูกรัสเซียโจมตีนั้นมีทั้งเมืองคาร์คิฟ เมืองโอเดสซา และเมืองเคอร์ซอน

รายงานข่าวระบุว่า เมืองที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษคือเมืองโอเดสซาซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของยูเครน เนื่องจากเป็นพื้นที่นำเข้าและส่งออกแห่งสำคัญของประเทศ โดยยูเครนมีการนำเข้าและส่งออกทางเรือกับเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และทวีปอเมริกา

ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ (18 ก.พ.) ว่า สหรัฐเชื่อว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย ได้ตัดสินใจแล้วที่จะโจมตียูเครนในอีก "ไม่กี่วันข้างหน้า" ซึ่งหมายความว่ารัสเซียอาจบุกยูเครนในสัปดาห์นี้

1657

ภาพถ่ายทางดาวเทียม [pr]ล่าสุดจากบริษัทแม็กซาร์ เทคโนโลยีของสหรัฐระบุว่า รัสเซียติดตั้งยุทโธปกรณ์และจัดวางกองกำลังภาคสนามใหม่ไว้หลายจุด โดยกระจายออกจากกองทหารรักษาการณ์ใกล้กับชายแดนยูเครน

นายสตีเฟน วูด ผู้อำนวยการอาวุโสของสำนักข่าวแม็กซาร์ เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ โดยดูจากร่องรอยการเคลื่อนที่และหิมะ

"สำหรับผมแล้ว นี่เป็นการบ่งชี้ว่ามีการเตรียมพร้อมเพิ่มขึ้น" นายวูดกล่าว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นขณะที่รัสเซียขยายเวลาการซ้อมรบทางทหารในเบลารุสซึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวานนี้ ทำให้กลุ่มชาติมหาอำนาจตะวันตกเกิดความกังวลว่ารัสเซียใกล้จะบุกยูเครนแล้ว

"ความเคลื่อนไหวครั้งใหม่นี้แสดงให้เห็นว่า รูปแบบการจัดวางกำลังพลของกลุ่มรบ (รถถัง, รถหุ้มเกราะ, ปืนใหญ่ และยุทโธปกรณ์) เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้" บริษัทแม็กซาร์ระบุในแถลงการณ์ล่าสุดในวันอาทิตย์ (20 ก.พ.)

แม็กซาร์กล่าวว่า ภาพถ่ายทางดาวเทียมจากเมื่อวานนี้แสดงให้เห็นว่า หน่วยรบและยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่ได้เคลื่อนออกจากโซโลตีแล้ว โดยพบเห็นรถตีนตะขาบจำนวนมากและขบวนยานเกราะบางส่วนกระจายอยู่ทั่วพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งยุทโธปกรณ์บางส่วนทางตะวันออกใกล้กับวาลูอิกิ รัสเซีย ในลานกว้างประมาณ 15 กม. (9 ไมล์) จากทางตอนเหนือของชายแดนยูเครน ขณะเดียวกันแม็กซาร์กล่าวว่า พบเห็นการจัดวางกำลังทหารภาคสนามใหม่จำนวนหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเบลโกรอด ประเทศรัสเซีย

1658
AWC เผย Q4/64 รายได้-กำไรโต [pr]กว่า 100% รับผลดีคลายล็อกดาวน์-เปิดประเทศ

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/64 มีรายได้รวมตามงบการเงิน 3,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% จากไตรมาสก่อนหน้านี้ มีกำไรสุทธิตามงบการเงิน 967 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับผลดีจากนโยบายผ่อนคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศในเดือนพ.ย. ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเริ่มพื้นตัว และการดำเนินธุรกิจของบริษัทเริ่มกลับเข้าสู่สภาพใกล้เคียงปกติ อีกทั้งยังมีสัญญาณดีจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลายขึ้น

นอกจากนี้บริษัทยังได้รับกำไรจากการรวมมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/64 ตามงบการเงินเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และหากเทียบกับไตรมาส 3/64 กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น 40.7% แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการพื้นตัวของธุรกิจและความพร้อมในการกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท

"ไตรมาส 4/2564 เป็นไตรมาสที่ผลประกอบการของเราดีที่สุดในรอบปี ถือเป็นสัญญาณบวกของการเริ่มฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจในภาพรวม เราจึงมีความมั่นใจอย่างมากว่า หากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายในปี 65 ทุกกลุ่มธุรกิจของ AWC จะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ดังนั้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเราจึงมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการดำเนินงานในทุกส่วนเพื่อให้บริษัทมีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งลงทุนพัฒนาโครงการคุณภาพใหม่ๆ และร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการกลับมาของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย" นางวัลลภา กล่าว
ทั้งนี้ หากรวมผลการดำเนินงานรวมทั้งปี 64 บริษัท มีกำไรสุทธิตามงบการเงินจำนวน 861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 192.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในช่วงปี 63-64 ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงมุ่งพัฒนาโครงการคุณภาพเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าและเป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างกระแสเงินสดเป็นบวกสะท้อนถึงการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยได้แรงเสริมจากการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลกที่แข็งแกร่ง ที่สามารถดึงฐานลูกค้าศักยภาพสูง ให้กลับมาเดินทางท่องเที่ยวได้ทันทีหลังจากสถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

บริษัทมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้วยการเปิดโรงแรมคอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ภูเก็ตให้เป็นจุดหมายปลายทางของโลก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกสู่จังหวัดภูเก็ต และเปิดให้บริการโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ รูปโฉมใหม่หลังการปรับปรุง พร้อมเปิดตัวห้องอาหารไฮไลท์แห่งใหม่ "โรลลิงริบส์ บริว บาร์แอนด์บาร์บีคิว" ใจกลางย่านสุรวงศ์-สีลม เพื่อสร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ใหม่ให้ผู้บริโภค ตอกย้ำจุดยืนกรุงเทพมหานคร จุดหมายปลายทางแห่งการทำงานและพักผ่อนระดับโลก ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี นอกจากนี้ AWC ยังมีโครงการคุณภาพ ที่พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในปี 65 ได้แก่ โครงการเดอะ ล้ง 1919 ริเวอร์ไซด์ เฮอริเทจ เดสติเนชั่น, โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง

นอกจากนี้บริษัทยังเสริมโอกาสการเติบโต ด้วยแผนการจัดตั้งองค์กรการร่วมทุน (Investment Vehicle) เพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย มีมูลค่าเงินลงทุนรวมสูงสุดประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเทียบเท่าประมาณ 16,500 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะเข้าร่วมลงทุนประมาณร้อยละ 15 - 60 ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด และส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะเป็นการร่วมลงทุนจากผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งอยู่ในช่วงศึกษาโครงสร้างและสัดส่วนการเข้าลงทุนเพื่อผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น

บริษัทเห็นว่าการจัดดำเนินการครั้งนี้จะเป็นการวางรากฐานในการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ โดยมาจากค่าธรรมเนียมในการพัฒนาและบริหารโครงการที่จะได้รับจากองค์กรการร่วมทุน (Investment Vehicle) นี้ ด้วยศักยภาพของกลุ่ม AWC และความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย พัฒนาชุมชุมโดยรอบ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป

"บริษัทมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าในระยะยาวร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ด้วยการพัฒนาคุณภาพโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งการสร้างโครงการคุณภาพเสริมพอร์ตทรัพย์สินให้เติบโตเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับการพัฒนาประสิทธิภาพของการดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพของการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งยังมีการปรับรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมลูกค้า รวมถึงพัฒนากลยุทธ์และกระบวนการดำเนินงานขององค์กรให้พร้อมรับกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยความมั่นคงและยั่งยืน บริษัทเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยจะกลับมาเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า ด้วยการเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยโครงการคุณภาพของกลุ่ม AWC เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้เดินทางมาชื่นชมความสวยงามของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก" นางวัลลภา กล่าว

1659
OTO แผนปี 65 [pr] เปิดแพลตฟอร์ม E-Sport และ Tele Pharmacy เข้าสู่ Tech Company

นายคณาวุฒิ วรรทนธีรัช ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.วันทูวัน คอนแทคส์ (OTO) กล่าวว่า บริษัทวางแผนธุรกิจที่จะก้าวเข้าสู่ Tech Company เต็มรูปแบบ หลังจากเปิดตัว Social Bureau ซึ่ง OTO ถือหุ้น 20% เป็นแพลตฟอร์มการตรวจสอบเครดิตบนโลกไซ ซึ่งบริษัทจะมีรายได้จากค่าบริการตรวจสอบเครดิตดังกล่าว

บริษัทเตรียมเปิดตัวอีก 2 แพลตฟอร์มใหม่ ประกอบด้วย แพลตฟอร์ม E-Sport ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก โดยในเฟสแรกคาดว่าสามารถสร้างรายได้จาก Sponsorship ในการจัดแข่งขันต่างๆ และเตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มทางการแพทย์ ต่อยอด Tele Medicine โดยให้คำปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ (Tele Pharmacy) ซึ่งเจาะกลุ่มเภสัชกรไม่ต้องการลงทุนเปิดร้านขายยาเอง ซึ่งบริษัทจะมีรายได้จากค่าบริการต่างๆนี้

"บริษัทมั่นใจว่าเทคโนโลยีจะเข้ามามีส่วนสำคัญกับการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น และการขยายธุรกิจเข้าสู่ Tech Company ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมของบริษัทฯที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในแล้ว ในฐานะผู้นำตลาด Contact Center และ Call Center ของเมืองไทย ผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น" นายคณาวุฒิ กล่าว

 

1660
THAI นำภาพถ่ายแสดงวิวัฒนาการร่วมนิทรรศการ The Metaworld by Zixel 7-20 มี.ค.

รายงานข่าวจาก บมจ.การบินไทย (THAI) [pr] เปิดเผยว่า บริษัทฯ ร่วมงานนิทรรศการ "The Metaworld by Zixel" จัดโดย Zipmex ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของเอเชีย ร่วมกับสยามพิวรรธน์ และพันธมิตรจากหลากหลายอุตสาหกรรม นำนักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้สนใจ เดินทางเข้าสู่ Metaverse สัมผัสโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

THAI เข้าร่วมแสดงงานศิลปะในรูปแบบ NFT ในงานนี้ ตั้งแต่วันที่ 7-20 มีนาคม 2565 ภายใต้แนวคิด "การเคลื่อนที่ไปข้างหน้า คือ วิถีของเรา" (Moving Forward is our Nature) โดยจัดแสดงชุดภาพถ่ายที่เล่าเรื่องราวจุดเริ่มต้นและวิวัฒนาการของการบินไทย รวมถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล

นอกจากนี้ วันที่ 12-13 มีนาคม 2565 จะมีการแจกของที่ระลึกเป็น NFT ภาพเครื่องบินโบอิ้ง 787 ของการบินไทย ให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกสะสมไมล์ รอยัล ออร์คิด พลัส (Royal Orchid Plus) ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมผ่านเว็บไซต์ thaiairways.com/rop ในวันที่ 8-9 มีนาคม 2565 โดยมอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิกบัตรแพลทินัมและบัตรทอง จำนวน 40 ภาพ (1 ภาพต่อท่าน) และสมาชิกบัตร รอยัล ออร์คิด พลัส ทุกประเภท จำนวน 60 ภาพ (1 ภาพต่อท่าน)

ทั้งนี้ งาน The Metaworld by Zixel ครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากเป็นการจัดกิจกรรมนำนักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้สนใจเข้าสู่โลกเสมือนจริง (Metaverse) เพื่อสัมผัสโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และส่งเสริมงานศิลปะ NFT Collection ใหม่ๆ สำหรับนักสะสมแล้ว ยังเป็นการสื่อสารและเปิดประสบการณ์ให้ผู้เข้าชมงาน สามารถเข้าถึงแบรนด์การบินไทยในโลกยุคดิจิทัล เพื่อเตรียมพร้อมในการเข้าสู่โลกของ Metaverse ในอนาคตอันใกล้อีกด้ว

 

1661
อื่นๆ / กาแฟม้าขาว TV แท้100%
« เมื่อ: 22 2022-02-22 2022 00:%i:1645464069 »
ศูนย์ขาย กาแฟม้าขาว ของจริง 100%. กาแฟม้าขาว กาแฟกระชับรักที่เมียจะต้องมีไว้ให้ผัว กาแฟม้าขาว เพิ่มพลังกระปรี้กระเปร่าเช่นเป็นชายหนุ่ม เต็มกำลังทุกสนามรัก ไม่มีอันตราย

1662
'แม็คโคร' โชว์ผลงานปี 64 ทำรายได้รวม [pr] 266,435 ล้านบาท เติบโต 21.8% เดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาสหนุน SME พร้อมชูธง O2O รับยุคดิจิทัล
 
บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO หรือ บริษัทฯ) ชูผลงานปี 2564 ทำรายได้รวม 266,435 ล้านบาท เติบโตดีกว่าปีก่อน 21.8% และกำไรสุทธิ 13,687 ล้านบาท แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคได้รับผลกระทบจาก COVID-19 พร้อมเดินหน้าวางยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตต่อเนื่อง เร่งพัฒนาธุรกิจ O2O พลิกโฉมสู่ยุคดิจิทัล ควบคู่การพัฒนา 'แพลตฟอร์มแห่งโอกาส' สนับสนุน SME ผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกร ในทุกช่องทาง ขยายการเติบโตสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน

นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - กลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร สายงาน Group Shared Service เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2564 สามารถสร้างการเติบโตทั้งรายได้และกำไรในระดับที่ดี แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่และการกลายพันธุ์ของ COVID-19 ในรอบปีที่ผ่านมา โดยทำรายได้รวม 266,435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.8 % จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 218,760 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 13,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.6% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,563 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานดังกล่าว ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งการปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับการจัดกิจกรรมทางการตลาดที่สอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และกำลังซื้อผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายหลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ นอกจากนี้ 'แม็คโคร' เริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มโลตัสส์ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2564 หลังรับโอนกิจการแล้วเสร็จในวันดังกล่าว

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นจากผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตรา 0.72 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 5,306 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น คงเหลือต้องจ่ายเงินปันผลอีกในอัตรา 0.32 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวัน Record Date ในวันที่ 4 มีนาคมนี้ และจะจ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลือในวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวของบริษัทฯ ต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565

นางเสาวลักษณ์ กล่าวอีกว่า หลังจากแม็คโครรับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ทำให้มีธุรกิจครอบคลุมทั้งการค้าส่งแบบ B2B (Business to Business หรือการค้ากับผู้ประกอบการ) และค้าปลีกแบบ B2C (Business to Consumer หรือการค้ากับผู้บริโภค) รวมถึงมีรายได้จากพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น โดยจะใช้จุดแข็งของทั้งแม็คโครและโลตัสส์ ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจทั้งค้าส่งและค้าปลีก ขยายฐานธุรกิจในเอเชียใต้และอาเซียน เพื่อเติบโตต่อไปในระดับภูมิภาค

ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือการพัฒนา 'แพลตฟอร์มแห่งโอกาส' เพื่อสนับสนุน SME ผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกร ผ่านช่องทางจำหน่ายในทุกรูปแบบ พร้อมสนับสนุนส่งเสริมในด้านการพัฒนามาตรฐานการผลิตและเทคโนโลยี เพื่อยกระดับสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ขณะเดียวกันได้เดินหน้าภารกิจ Digital Transformation อย่างต่อเนื่องเพื่อพลิกโฉมธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคและ ผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน โดยการผสมผสานและพัฒนาช่องทางการขายสินค้าออฟไลน์และออนไลน์ (offline and online หรือ O2O) อย่างไร้รอยต่อ การพัฒนาแพลตฟอร์มตลาดซื้อขายออนไลน์ (Marketplace) เพื่อเพิ่มช่องทางแห่งโอกาสให้กับ SME และเกษตรกร รวมถึงลงทุนด้านบิ๊กดาต้าเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและนำมาปรับใช้ในการพัฒนาธุรกิจ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญและยึดมั่นการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมภิบาล (ESG) อาทิ การสนับสนุนผลผลิตจากเกษตรกรไทยเพื่อสร้างรายได้สู่ท้องถิ่น, เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพแก่ผู้ประกอบการ ฯลฯ

ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาแม็คโคร ได้ขยายสาขาในประเทศเพิ่มอีก 4 แห่ง ได้แก่ สาขาสุขุมวิท 22, สาขาลำลูกกา จ.ปทุมธานี, สาขาถนนจันทน์ และ สาขาแพรกษา จ.สมุทรปราการ ส่งผลให้ปัจจุบันแม็คโครมีสาขาในประเทศไทยรวม 144 แห่ง ขณะที่กลุ่มโลตัสส์ประเทศไทย ปัจจุบันมีสาขาจำนวนกว่า 2,600 สาขา โดยคาดว่าในปี 2565 นี้ ทั้งสองกลุ่มจะมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

1663
ก.ล.ต.เล็งปรับเกณฑ์การวางทรัพย์ชำระบัญชี [pr]กลุ่มกองทุนอสังหาฯ-กอง Infra

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการวางทรัพย์เพื่อชำระบัญชีของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กอง 1) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน (กอง 2) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิเรียกร้อง (กอง 4) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (กอง Infra) เพื่อให้การชำระบัญชีและจดทะเบียนเลิกกองทุนรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ก.ล.ต. มีแนวคิดในการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการวางทรัพย์เพื่อชำระบัญชีของกอง 1 กอง 2 กอง 4 และกอง Infra เพื่อให้ผู้ชำระบัญชีของกองทุนรวมสามารถวางทรัพย์ของผู้ถือหน่วยลงทุนที่ไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทยได้ ซึ่งจะทำให้การชำระบัญชีและจดทะเบียนเลิกกองทุนรวมทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ก.ล.ต. จึงยกร่างประกาศ จำนวน 3 ฉบับ โดยกำหนดให้โครงการจัดการกองทุนรวมดังกล่าวมีรายการซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ "การระบุภูมิลำเนาในประเทศไทยเพื่อการวางทรัพย์สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนทุกรายที่ไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย (ถ้ามี)" นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับกองทุนรวมทั่วไปที่ได้แก้ไขและออกประกาศไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 ที่กำหนดให้หนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยลงทุนฯ มีรายการดังกล่าว

1664
CRC เผย SSSG ม.ค.65 โต 2 หลัก เปิดสาขาใหม่ [pr]เพิ่มในไทย-เวียดนามต่อเนื่อง

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) กล่าวว่า บริษัทมั่นใจเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence ที่ได้ประกาศไว้ว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ล่าสุดยอดขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และในเดือนม.ค. 65 ยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) มีการเติบโตเป็นเลข 2 หลัก ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี โดยที่ยอดขาย Omni chanel โดยรวม ก็ยังเติบโต 2 หลัก เช่นกัน ถึงแม้ว่าจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในห้างและร้านค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมีกลุ่มธุรกิจแฟชั่นพลิกกลับมาเติบโตอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับกลุ่มธุรกิจ Property ในประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้บริการในศูนย์การค้าคิดเป็น 85% ของระดับปกติก่อนช่วงการเกิดโควิด-19 และยังรักษาระดับอัตรา Occupancy ได้มากกว่า 90% พร้อมเดินหน้าประเดิมเปิดศูนย์การค้า โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ รูปแบบใหม่ สาขา บ้านฉาง จังหวัดระยอง ในวันที่ 3 มี.ค. 65 และเปิด GO! ไลฟ์สไตล์มอลล์ เมืองหล่าวกาย (Lao Cai) ประเทศเวียดนามในเดือนเม.ย. 65 รวมถึงศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เพิ่มอีก 2 แห่ง ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ CRC มีศูนย์การค้า 73 แห่ง ภายในสิ้นปี 65

ด้านธุรกิจ Hard line จะมีการขยายสาขาไทวัสดุเพิ่มอีก 10 แห่ง โดยจะเปิดสาขาแรกที่จังหวัดชัยภูมิ ในวันที่ 17 มี.ค. 65 ตอกย้ำการเป็นผู้นำบนแพลตฟอร์มออมนิแชแนลของธุรกิจ Hard line ในไทย

"เรามีความมั่นใจและยังคงอัดแผนลงทุนเพื่อขยายธุรกิจที่มีอยู่ และเพิ่มธุรกิจใหม่ๆ รวมทั้งมีแผนที่จะร่วมมือกับผู้นำในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ และเพิ่มแผน M&A ทั้งในไทยและเวียดนามมากขึ้น นอกจากนั้นเรายังคงตั้งเป้าที่จะนำ MEB ผู้นำในธุรกิจ E-Book และเว็บไซต์อ่านนิยายของไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปีนี้ โดยเรามุ่งเน้นที่จะนำธุรกิจของ CRC และพันธมิตรทั้งหมด สู่การเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน" นายญนน์ กล่าว

1665
TRUE-DTAC กอดคอร่วงรับ Sell on Fact [pr] โบรกฯคาดกว่าปิดดีลลากยาวถึง Q1/66

ราคาหุ้น TRUE-DTAC กอดคอร่วงมากกว่าดัชนี SET ที่ลบ 0.09% เมื่อเวลา 10.49 น.

TRUE รูดลง 7.02% หรือ 0.40 บาท มาที่ 5.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,077.09 ล้านบาท

DTAC ร่วง 5.85% หรือ 3.00 บาท มาที่ 48.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 985.71 ล้านบาท

บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้น บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ปรับตัวลงหลังการอนุมัติดีลควบรวมสะท้อนผ่านราคาหุ้นแล้ว และเชื่อว่าดีล TRUE-DTAC จะกินเวลาไปถึงไตรมาส 1/66 หากอิงจากดีลควบบริษัท DiGi.com ของ Telenor กับ Axiata ในมาเลเซีย แต่บริษัทคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นได้ภายในไตรมาส 3/65

แนะนำ "ขาย" หุ้น TRUE ที่ราคาเสนอซื้อ 5.09 บาท

กำไรสุทธิไตรมาส 4/64 อยู่ที่ 54 ล้านบาท นับเป็นไตรมาสแรกที่ทำกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/63 หนุนจากรายได้อื่น ๆ ที่พุ่งสูงขึ้นเป็น 1.4 พันล้านบาท (+290%YoY, +197%QoQ) แต่ภาพรวมเป็นลบในปี 65-66 โดยไม่คาดว่าบริษัทจะพลิกเป็นกำไรได้จนกว่าจะถึงปี 67 แม้จะแข่งขันในระดับเดียวกับ ADVANC ในตลาดเครือข่ายมือถือ ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายจะยังฉุดกำไรลงสู่แดนลบจนถึงปี 66

หน้า: 1 ... 109 110 [111] 112 113 114