6136
เครื่องใช้ไฟฟ้า / เครื่องใช้ไฟฟ้าราคาส่ง จาก www.ขายส่งเครื่องใช้ไฟฟ้า.com
« เมื่อ: 14 2022-03-14 2022 15:%i:1647245384 »
เครื่องใช้ไฟฟ้าราคาส่ง จาก www.ขายส่งเครื่องใช้ไฟฟ้า.comขายส่งเครื่องใช้ไฟฟ้า
[pr]
[pr]
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
6137
อื่นๆ / เลือกน้ำยาล้างห้องน้ำอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน
« เมื่อ: 14 2022-03-14 2022 11:%i:1647233440 »
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0610 [pr]
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0610 [pr]
6138
กีฬา / อุปกรณ์กีฬายี่ห้อ ฟุตบอลไทย : ราคาส่ง |ขายส่งอุปกรณ์กีฬา.com
« เมื่อ: 14 2022-03-14 2022 11:%i:1647233311 »
อุปกรณ์กีฬายี่ห้อ ฟุต.ไทย : ราคาส่ง |ขายส่งอุปกรณ์กีฬา.com
6139
กีฬา / ขายส่งอุปกรณ์กีฬา แบรนด์ ฟุตบอลไทย (FBT)
« เมื่อ: 14 2022-03-14 2022 06:%i:1647214562 »
ขายส่งอุปกรณ์กีฬา ฟุต.ไทย
[pr]
[pr]
6140
การศึกษา / อุปกรณ์กีฬา แบรนด์ ฟุตบอลไทย ราคาส่ง | ขายส่งอุปกรณ์กีฬา.com
« เมื่อ: 14 2022-03-14 2022 05:%i:1647210463 »
ขายส่งอุปกรณ์กีฬา แบรนด์ ฟุต.ไทย
[pr]
[pr]
6141
อื่นๆ / คลังเผยยอดใช้จ่ายสะสม 3 โครงการกระตุ้นบริโภคในปท. รวมกว่า 5.85 หมื่นลบ.
« เมื่อ: 14 2022-03-14 2022 02:%i:1647199703 »
คลังเผยยอดใช้จ่ายสะสม 3 โครงการกระตุ้นบริโภค [pr]ในปท. รวมกว่า 5.85 หมื่นลบ.
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 ซึ่งประกอบด้วย โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4, โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 พบว่า จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 10 มีนาคม 2565 ณ เวลา 23.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 40.81 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวมทั้งหมด 58,552.88 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 13.32 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 4,858.98 ล้านบาท
2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 1.24 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 420.90 ล้านบาท
3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มเดิมฯ) จำนวน 25.46 ล้านราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 51,992.4 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มใหม่ฯ) จำนวน 7.85 แสนราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 1,280.6 ล้านบาท รวมมีผู้ใช้สิทธิทั้งหมดจำนวน 26.25 ล้านราย และยอดการใช้จ่ายรวม 53,273.0 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 27,079.6 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 26,193.4 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสม แบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 22,041.9 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 9,082.7 ล้านบาท ร้าน OTOP 2,335.4 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 18,779.5 ล้านบาท ร้านบริการ 935.6 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 97.9 ล้านบาท
โดยมีประชาชนที่ได้รับสิทธิทั้งหมด 26.38 ล้านราย ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ ที่กดยืนยันสิทธิและมีการใช้สิทธิโครงการฯ ระยะที่ 4 แล้ว จำนวน 25.46 ล้านราย จากจำนวนผู้ใช้จ่ายโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 26.35 ล้านราย สำหรับผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วจำนวน 1.35 ล้านราย โดยเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ 2.7 หมื่นราย
สำหรับข้อมูลการใช้จ่ายสะสมผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีการใช้จ่ายสะสม 1,559.1 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 808.3 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 750.8 ล้านบาท และในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม มีจำนวน 9.28 หมื่นราย
นายพรชัย กล่าวว่า ทั้ง 3 โครงการดังกล่าวข้างต้น ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการร้านค้ารายใหม่ ยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ผ่าน www.คนละครึ่ง.com หรือติดต่อเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ หรือสาขาธนาคารกรุงไทย (KTB) ได้อย่างต่อเนื่อง จนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัคร
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 ซึ่งประกอบด้วย โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4, โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 พบว่า จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 10 มีนาคม 2565 ณ เวลา 23.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 40.81 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวมทั้งหมด 58,552.88 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 13.32 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 4,858.98 ล้านบาท
2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 1.24 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 420.90 ล้านบาท
3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มเดิมฯ) จำนวน 25.46 ล้านราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 51,992.4 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มใหม่ฯ) จำนวน 7.85 แสนราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 1,280.6 ล้านบาท รวมมีผู้ใช้สิทธิทั้งหมดจำนวน 26.25 ล้านราย และยอดการใช้จ่ายรวม 53,273.0 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 27,079.6 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 26,193.4 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสม แบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 22,041.9 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 9,082.7 ล้านบาท ร้าน OTOP 2,335.4 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 18,779.5 ล้านบาท ร้านบริการ 935.6 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 97.9 ล้านบาท
โดยมีประชาชนที่ได้รับสิทธิทั้งหมด 26.38 ล้านราย ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ ที่กดยืนยันสิทธิและมีการใช้สิทธิโครงการฯ ระยะที่ 4 แล้ว จำนวน 25.46 ล้านราย จากจำนวนผู้ใช้จ่ายโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 26.35 ล้านราย สำหรับผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วจำนวน 1.35 ล้านราย โดยเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ 2.7 หมื่นราย
สำหรับข้อมูลการใช้จ่ายสะสมผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีการใช้จ่ายสะสม 1,559.1 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 808.3 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 750.8 ล้านบาท และในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม มีจำนวน 9.28 หมื่นราย
นายพรชัย กล่าวว่า ทั้ง 3 โครงการดังกล่าวข้างต้น ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการร้านค้ารายใหม่ ยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ผ่าน www.คนละครึ่ง.com หรือติดต่อเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ หรือสาขาธนาคารกรุงไทย (KTB) ได้อย่างต่อเนื่อง จนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัคร
6142
รถ ยานพาหนะ / ช่างกุญแจ นวมินทร์ ช่างกุญแจลาดพร้าว ช่างกุญแจรามคำแหง ช่างปานกุญแจ
« เมื่อ: 14 2022-03-14 2022 01:%i:1647196276 »
สนใจติดต่อสอบถามได้ครับ
ช่างปาน 0851088797
ช่างปาน 0851088797
6143
ธุรกิจ งาน / สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
« เมื่อ: 13 2022-03-13 2022 23:%i:1647188880 »
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงาน [pr]สูงกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 11,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 217,000 ราย
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงสูงกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 500 ราย สู่ระดับ 230,750 ราย
สหรัฐเผยดัชนี CPI พุ่ง 7.9% สูงกว่าคาดการณ์ ทำนิวไฮ 40 ปี
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.9% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2525 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.8%
นอกจากนี้ ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.7%
ขณะเดียวกัน ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 6.4% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2525 สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐานดีดตัวขึ้น 0.5% สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 11,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 217,000 ราย
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงสูงกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 500 ราย สู่ระดับ 230,750 ราย
สหรัฐเผยดัชนี CPI พุ่ง 7.9% สูงกว่าคาดการณ์ ทำนิวไฮ 40 ปี
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.9% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2525 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.8%
นอกจากนี้ ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.7%
ขณะเดียวกัน ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 6.4% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2525 สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐานดีดตัวขึ้น 0.5% สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
6144
ธุรกิจ งาน / นายกฯ เรียก สุพัฒนพงษ์-ผู้บริหาร PTT พบด่วนคาดหารือปัญหาราคาพลังงาน
« เมื่อ: 13 2022-03-13 2022 20:%i:1647176670 »
นายกฯ เรียก สุพัฒนพงษ์-ผู้บริหาร PTT พบด่วนคาดหารือปัญหาราคาพลังงาน [pr]
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เรียกนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหาร บมจ.ปตท. (PTT) เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาล คาดว่าจะเป็นการหารือเกี่ยวกับปัญหาราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นมาและยังมีความผันผวน จนอาจส่งผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน
ธปท.แจงทุนสำรองระหว่างประเทศ 4 มี.ค.อยู่ที่ US$ 243.6 พันล้าน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศ วันที่ 4 มี.ค.65 อยู่ที่ 243.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากวันที่ 25 ก.พ.65 อยู่ที่ 244.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกันฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิของไทย วันที่ 4 มี.ค.65 อยู่ที่ 31.7 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับวันที่ 25 ก.พ.65 อยู่ที่ 31.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เงินสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินบาทวันที่ 4 มี.ค.65 อยู่ที่ 7,946.5 พันล้านบาท จาก 7,958.2 พันล้าน บาท เมื่อวันที่ 25 ก.พ.65
25 ก.พ.65 4 มี.ค.65
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (พันล้านบาท) 7,958.2 7,946.5
(พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 244.6 243.6
ฐานะสุทธิ Forward(พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 31.8 31.7
สินเชื่อสุทธิที่ให้กับรัฐบาล(พันล้านบาท) 38.8 9.2
สินเชื่อสุทธิที่ให้กับสถาบันการเงิน(พันล้านบาท) -5,283.2 -5,225.8
ฐานเงิน(พันล้านบาท) 2,472.9 2,442.9
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เรียกนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหาร บมจ.ปตท. (PTT) เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาล คาดว่าจะเป็นการหารือเกี่ยวกับปัญหาราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นมาและยังมีความผันผวน จนอาจส่งผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน
ธปท.แจงทุนสำรองระหว่างประเทศ 4 มี.ค.อยู่ที่ US$ 243.6 พันล้าน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศ วันที่ 4 มี.ค.65 อยู่ที่ 243.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากวันที่ 25 ก.พ.65 อยู่ที่ 244.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกันฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิของไทย วันที่ 4 มี.ค.65 อยู่ที่ 31.7 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับวันที่ 25 ก.พ.65 อยู่ที่ 31.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เงินสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินบาทวันที่ 4 มี.ค.65 อยู่ที่ 7,946.5 พันล้านบาท จาก 7,958.2 พันล้าน บาท เมื่อวันที่ 25 ก.พ.65
25 ก.พ.65 4 มี.ค.65
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (พันล้านบาท) 7,958.2 7,946.5
(พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 244.6 243.6
ฐานะสุทธิ Forward(พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 31.8 31.7
สินเชื่อสุทธิที่ให้กับรัฐบาล(พันล้านบาท) 38.8 9.2
สินเชื่อสุทธิที่ให้กับสถาบันการเงิน(พันล้านบาท) -5,283.2 -5,225.8
ฐานเงิน(พันล้านบาท) 2,472.9 2,442.9
6145
เสริมสวย สุขภาพ / BLC BALANCE C คอลลาเจน ช่วยผิวกระจ่างใสเต่งตึง ลดริ้วรอย ลดสิว
« เมื่อ: 13 2022-03-13 2022 19:%i:1647175667 »
BLC BALANCE C ของแท้ถูกสุดจากบริษัทโดยตรง คอลลาเจน พรีเมี่ยม ไดเปปไทด์ ร่างกายดูดซึมได้ดี เห็นผลไว ทานง่าย ไม่ต้องชง ฉีกเทใส่ปากได้เลย ช่วยผิวขาวกระจ่างใส ลดริ้วรอย ชะลอริ้วรอยความแก่ของวัย ผิวเต่งตึง ลดสิวอุดตัน สิวผด ผิวสวย ช่วยบำรุงข้อเข่าดูแลข้อเข่าเสื่อมด้วยคอลลาเจนTYPE 2
รายละเอียดเพิ่มเติม BLC BALANCE C [pr]
รายละเอียดเพิ่มเติม BLC BALANCE C [pr]
6146
ธุรกิจ งาน / ‘พาณิชย์’ เตรียมลงนาม MoU จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมอาเซียน-เกาหลีใต้
« เมื่อ: 13 2022-03-13 2022 19:%i:1647173852 »
‘พาณิชย์’ เตรียมลงนาม MoU จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมอาเซียน-เกาหลีใต้ ผลักดันความร่วมมือ [pr]ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
?พาณิชย์? เตรียมลงนาม MoU จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมอาเซียน-เกาหลีใต้ ผลักดันความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
?กระทรวงพาณิชย์? เตรียมลงนาม MoU ว่าด้วยการตั้งศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมอาเซียน-เกาหลีใต้ (AKIIC) ยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์ เพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านไทยพร้อมผลักดันความร่วมมือในสาขาที่ไทยจะได้ประโยชน์ ทั้งอุตสาหกรรม 4.0 ยานยนต์สมัยใหม่ และเกษตรอัจฉริยะ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ไทยร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ว่าด้วยการตั้งศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมอาเซียน-เกาหลีใต้ (ASEAN-Korea Industrial Innovation Center: AKIIC) โดยการลงนามครั้งนี้ ครม. ได้เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนาม MoU โดยคาดว่าการลงนามจะจัดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งจะทำให้การจัดตั้งศูนย์ AKIIC เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การทำวิจัยร่วมกัน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
นางอรมน กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์ AKIIC เป็นข้อริเริ่มของเกาหลีใต้ในฐานะประเทศที่มีความโดดเด่นและมีความก้าวหน้าทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อร่วมมือกับอาเซียนในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ และเพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างกัน โดยจะจัดตั้งศูนย์ AKIIC ที่ประเทศเกาหลีใต้ นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จะเป็นผู้แทนไทยร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารศูนย์ AKIIC เพื่อผลักดันความร่วมมือสาขาอุตสาหกรรมที่ไทยจะได้ประโยชน์ อาทิ อุตสาหกรรม 4.0 ยานยนต์สมัยใหม่ เกษตรอัจฉริยะ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง เครื่องมือแพทย์ และอุตสาหกรรมบันเทิง
ทั้งนี้ อาเซียนและเกาหลีใต้อยู่ระหว่างศึกษาการทบทวนความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลีใต้ (AKFTA) ให้ทันสมัยและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการมากขึ้น และประเด็นที่ควรปรับปรุงความตกลงฯ ซึ่งไทยสนใจประเด็นการเปิดตลาดเพิ่มเติม โดยเฉพาะการเสนอให้เกาหลีใต้เปิดตลาดสินค้าเพิ่มขึ้น อาทิ มะม่วง ทุเรียน มันสำปะหลังอัดเม็ด พลาสติก พาร์ติเคิลบอร์ด สิ่งทอ และสินค้าประมง
สำหรับในปี 2564 ไทยกับเกาหลีใต้มีการขยายตัวทางการค้ามากที่สุดในรอบ 30 ปี และเกาหลีใต้เป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 9 ของไทย โดยไทยส่งออกไปเกาหลีใต้ มูลค่า 5,883 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากเกาหลีใต้ มูลค่า 9,919 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ทั้งนี้ จากสถิติการค้าของไทยนับตั้งแต่ที่ความตกลง AKFTA มีผลใช้บังคับเมื่อปี 2553 จนถึงปี 2564 พบว่า การค้ารวมของไทยมีมูลค่า 15,802 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 92%
?พาณิชย์? เตรียมลงนาม MoU จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมอาเซียน-เกาหลีใต้ ผลักดันความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
?กระทรวงพาณิชย์? เตรียมลงนาม MoU ว่าด้วยการตั้งศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมอาเซียน-เกาหลีใต้ (AKIIC) ยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์ เพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านไทยพร้อมผลักดันความร่วมมือในสาขาที่ไทยจะได้ประโยชน์ ทั้งอุตสาหกรรม 4.0 ยานยนต์สมัยใหม่ และเกษตรอัจฉริยะ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ไทยร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ว่าด้วยการตั้งศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมอาเซียน-เกาหลีใต้ (ASEAN-Korea Industrial Innovation Center: AKIIC) โดยการลงนามครั้งนี้ ครม. ได้เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนาม MoU โดยคาดว่าการลงนามจะจัดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งจะทำให้การจัดตั้งศูนย์ AKIIC เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การทำวิจัยร่วมกัน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
นางอรมน กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์ AKIIC เป็นข้อริเริ่มของเกาหลีใต้ในฐานะประเทศที่มีความโดดเด่นและมีความก้าวหน้าทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อร่วมมือกับอาเซียนในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ และเพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างกัน โดยจะจัดตั้งศูนย์ AKIIC ที่ประเทศเกาหลีใต้ นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จะเป็นผู้แทนไทยร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารศูนย์ AKIIC เพื่อผลักดันความร่วมมือสาขาอุตสาหกรรมที่ไทยจะได้ประโยชน์ อาทิ อุตสาหกรรม 4.0 ยานยนต์สมัยใหม่ เกษตรอัจฉริยะ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง เครื่องมือแพทย์ และอุตสาหกรรมบันเทิง
ทั้งนี้ อาเซียนและเกาหลีใต้อยู่ระหว่างศึกษาการทบทวนความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลีใต้ (AKFTA) ให้ทันสมัยและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการมากขึ้น และประเด็นที่ควรปรับปรุงความตกลงฯ ซึ่งไทยสนใจประเด็นการเปิดตลาดเพิ่มเติม โดยเฉพาะการเสนอให้เกาหลีใต้เปิดตลาดสินค้าเพิ่มขึ้น อาทิ มะม่วง ทุเรียน มันสำปะหลังอัดเม็ด พลาสติก พาร์ติเคิลบอร์ด สิ่งทอ และสินค้าประมง
สำหรับในปี 2564 ไทยกับเกาหลีใต้มีการขยายตัวทางการค้ามากที่สุดในรอบ 30 ปี และเกาหลีใต้เป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 9 ของไทย โดยไทยส่งออกไปเกาหลีใต้ มูลค่า 5,883 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากเกาหลีใต้ มูลค่า 9,919 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ทั้งนี้ จากสถิติการค้าของไทยนับตั้งแต่ที่ความตกลง AKFTA มีผลใช้บังคับเมื่อปี 2553 จนถึงปี 2564 พบว่า การค้ารวมของไทยมีมูลค่า 15,802 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 92%
6147
ธุรกิจ งาน / 'ตีตี โกล.' เบรกแผนเทรดหุ้นในฮ่องกง เหตุไม่ผ่านเกณฑ์ความปลอดภัยข้อมูล
« เมื่อ: 13 2022-03-13 2022 18:%i:1647171334 »
'ตีตี โกล.' เบรกแผนเทรดหุ้น [pr]ในฮ่องกง เหตุไม่ผ่านเกณฑ์ความปลอดภัยข้อมูล
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า บริษัทตีตี โกล. อิงค์ (Didi Global Inc) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถรับส่งสัญชาติจีนได้ระงับแผนการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงแล้ว หลังจากบริษัทไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องของหน่วยงานกำกับดูแลด้านกฎระเบียบของจีนที่ต้องการให้บริษัทปรับปรุงระบบการจัดการกับข้อมูลผู้ใช้งานซึ่งมีความอ่อนไหว
คณะกรรมการกำกับดูแลด้านไซเบอร์ของจีน (CAC) ได้แจ้งให้ผู้บริหารของตีตีรับทราบว่า ตีตียังไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องในเรื่องการป้องกันความปลอดภัยและการรั่วไหลของข้อมูล
แหล่งข่าวยังระบุด้วยว่า แอปพลิเคชันของตีตีซึ่งได้ถูกถอดออกจากแอปสโตร์ของจีนตั้งแต่ปีที่แล้วนั้น จะยังคงถูกระงับใช้งานต่อไปในขณะนี้
ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า จีนยังคงเดินหน้าควบคุมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2564 รัฐสภาจีนผ่านร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Information Protection Law - PIPL) เพื่อกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นกับบริษัทที่เก็บข้อมูลและจัดการข้อมูลของผู้ใช้งาน โดยกฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์
กฎหมาย PIPL กำหนดว่า บริษัทที่ประมวลผลข้อมูลไม่สามารถปฏิเสธการให้บริการแก่ลูกค้าที่ไม่ยินยอมให้เก็บข้อมูลของพวกเขา นอกเสียจากว่า ข้อมูลนั้นจำเป็นต่อการจัดหาผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการ นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดข้อบังคับที่เข้มงวดเกี่ยวกับการโอนข้อมูลของพลเมืองจีนออกนอกประเทศ โดยหากบริษัทใดละเมิดกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้รับโทษปรับ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า บริษัทตีตี โกล. อิงค์ (Didi Global Inc) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถรับส่งสัญชาติจีนได้ระงับแผนการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงแล้ว หลังจากบริษัทไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องของหน่วยงานกำกับดูแลด้านกฎระเบียบของจีนที่ต้องการให้บริษัทปรับปรุงระบบการจัดการกับข้อมูลผู้ใช้งานซึ่งมีความอ่อนไหว
คณะกรรมการกำกับดูแลด้านไซเบอร์ของจีน (CAC) ได้แจ้งให้ผู้บริหารของตีตีรับทราบว่า ตีตียังไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องในเรื่องการป้องกันความปลอดภัยและการรั่วไหลของข้อมูล
แหล่งข่าวยังระบุด้วยว่า แอปพลิเคชันของตีตีซึ่งได้ถูกถอดออกจากแอปสโตร์ของจีนตั้งแต่ปีที่แล้วนั้น จะยังคงถูกระงับใช้งานต่อไปในขณะนี้
ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า จีนยังคงเดินหน้าควบคุมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2564 รัฐสภาจีนผ่านร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Information Protection Law - PIPL) เพื่อกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นกับบริษัทที่เก็บข้อมูลและจัดการข้อมูลของผู้ใช้งาน โดยกฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์
กฎหมาย PIPL กำหนดว่า บริษัทที่ประมวลผลข้อมูลไม่สามารถปฏิเสธการให้บริการแก่ลูกค้าที่ไม่ยินยอมให้เก็บข้อมูลของพวกเขา นอกเสียจากว่า ข้อมูลนั้นจำเป็นต่อการจัดหาผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการ นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดข้อบังคับที่เข้มงวดเกี่ยวกับการโอนข้อมูลของพลเมืองจีนออกนอกประเทศ โดยหากบริษัทใดละเมิดกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้รับโทษปรับ
6148
ธุรกิจ งาน / จีนเผยราคาเนื้อหมูเดือนก.พ.ปรับตัวลดลง
« เมื่อ: 13 2022-03-13 2022 14:%i:1647157016 »
จีนเผยราคาเนื้อหมู [pr]เดือนก.พ.ปรับตัวลดลง
สำนักข่าวซินหัวรายงานข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีนในวันนี้ ซึ่งระบุว่า ราคาเนื้อหมูในจีนปรับตัวลดลงในเดือนก.พ.
ข้อมูลของกระทรวงระบุว่า ดัชนีราคาเนื้อหมูโดยเฉลี่ยเดือนก.พ.ใน 16 ภูมิภาคระดับมณฑล อยู่ที่ 16.79 หยวน (2.65 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อกิโลกรัม ลดลง 13.1% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน
นอกจากนี้ ดัชนีราคาลดลง 55.2% เมื่อเทียบรายปี ลดลง 2.4% จากเดือนก่อนหน้า
เมื่อเดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ประกาศว่า จะมีการซื้อเนื้อหมูเพื่อเติมคลังสำรองของรัฐ เนื่องจากราคาเนื้อหมูโดยเฉลี่ยของประเทศเทียบกับราคาธัญพืชปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับคำเตือน
NDRC ระบุว่า ได้เริ่มดำเนินการเก็บสต็อกในภูมิภาคระดับมณฑลแล้ว รวมถึงกรุงปักกิ่ง, มณฑลเจียงซี, มณฑลหูเป่ย และมณฑลฉงชิ่ง ส่วนพื้นที่อื่นจะเริ่มดำเนินการในไม่ช้านี้
ทั้งนี้ ทางการแนะนำให้ฟาร์มปศุสัตว์และครัวเรือนดำเนินการอย่างสมเหตุสมผลสำหรับการผลิตและการรักษาเสถียรภาพของกำลังการผลิตสุกร
สำนักข่าวซินหัวรายงานข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีนในวันนี้ ซึ่งระบุว่า ราคาเนื้อหมูในจีนปรับตัวลดลงในเดือนก.พ.
ข้อมูลของกระทรวงระบุว่า ดัชนีราคาเนื้อหมูโดยเฉลี่ยเดือนก.พ.ใน 16 ภูมิภาคระดับมณฑล อยู่ที่ 16.79 หยวน (2.65 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อกิโลกรัม ลดลง 13.1% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน
นอกจากนี้ ดัชนีราคาลดลง 55.2% เมื่อเทียบรายปี ลดลง 2.4% จากเดือนก่อนหน้า
เมื่อเดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ประกาศว่า จะมีการซื้อเนื้อหมูเพื่อเติมคลังสำรองของรัฐ เนื่องจากราคาเนื้อหมูโดยเฉลี่ยของประเทศเทียบกับราคาธัญพืชปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับคำเตือน
NDRC ระบุว่า ได้เริ่มดำเนินการเก็บสต็อกในภูมิภาคระดับมณฑลแล้ว รวมถึงกรุงปักกิ่ง, มณฑลเจียงซี, มณฑลหูเป่ย และมณฑลฉงชิ่ง ส่วนพื้นที่อื่นจะเริ่มดำเนินการในไม่ช้านี้
ทั้งนี้ ทางการแนะนำให้ฟาร์มปศุสัตว์และครัวเรือนดำเนินการอย่างสมเหตุสมผลสำหรับการผลิตและการรักษาเสถียรภาพของกำลังการผลิตสุกร
6149
อื่นๆ / เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีปอีกครั้ง สหรัฐเล็งห้ามเข้าถึงเทคโนโลยี
« เมื่อ: 13 2022-03-13 2022 14:%i:1647156029 »
เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป [pr]อีกครั้ง สหรัฐเล็งห้ามเข้าถึงเทคโนโลยี
รัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า ในการทดสอบขีปนาวุธสองครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือนั้นมีการทดสอบระบบขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่เกาหลีเหนือกำลังพัฒนาขึ้นใหม่ด้วย โดยสหรัฐมองว่าเป็นการยกระดับที่น่ากังวล
เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐจะรับมือกับความเคลื่อนไหวดังกล่าวด้วยการห้ามไม่ให้เกาหลีเหนือเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีส่วนสนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธ แต่ขณะเดียวกันก็พร้อมเจรจากับเกาหลีเหนือเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เกาหลีเหนือได้ดำเนินการทดสอบยิงขีปนาวุธไปแล้ว 9 ครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณเมื่อเดือนม.ค. ว่า อาจกลับมาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ICBM อีกครั้ง โดยมีการทดสอบครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2560
ทางการสหรัฐเปิดเผยว่า การทดสอบที่มีการใช้ระบบขีปนาวุธข้ามทวีปนั้นมีขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. และ 5 มี.ค. อย่างไรก็ดี การทดสอบสองครั้งล่าสุดนี้ไม่ได้แสดงถึงพิสัยหรือขีดความสามารถเหมือนกับที่เคยทดสอบ ICBM จำนวน 3 ครั้งเมื่อปี 2560
เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า "การยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดนี้น่าจะมีจุดประสงค์เพื่อทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบใหม่ ก่อนที่เกาหลีเหนือจะทดสอบขีปนาวุธเต็มพิกัด"
รัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า ในการทดสอบขีปนาวุธสองครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือนั้นมีการทดสอบระบบขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่เกาหลีเหนือกำลังพัฒนาขึ้นใหม่ด้วย โดยสหรัฐมองว่าเป็นการยกระดับที่น่ากังวล
เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐจะรับมือกับความเคลื่อนไหวดังกล่าวด้วยการห้ามไม่ให้เกาหลีเหนือเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีส่วนสนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธ แต่ขณะเดียวกันก็พร้อมเจรจากับเกาหลีเหนือเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เกาหลีเหนือได้ดำเนินการทดสอบยิงขีปนาวุธไปแล้ว 9 ครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณเมื่อเดือนม.ค. ว่า อาจกลับมาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ICBM อีกครั้ง โดยมีการทดสอบครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2560
ทางการสหรัฐเปิดเผยว่า การทดสอบที่มีการใช้ระบบขีปนาวุธข้ามทวีปนั้นมีขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. และ 5 มี.ค. อย่างไรก็ดี การทดสอบสองครั้งล่าสุดนี้ไม่ได้แสดงถึงพิสัยหรือขีดความสามารถเหมือนกับที่เคยทดสอบ ICBM จำนวน 3 ครั้งเมื่อปี 2560
เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า "การยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดนี้น่าจะมีจุดประสงค์เพื่อทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบใหม่ ก่อนที่เกาหลีเหนือจะทดสอบขีปนาวุธเต็มพิกัด"
6150
เสริมสวย สุขภาพ / CDC สหรัฐยืนยันวัคซีนไฟเซอร์ลดความเสี่ยงเด็กติดเชื้อโอมิครอนลงได้อย่างมาก
« เมื่อ: 13 2022-03-13 2022 13:%i:1647152256 »
CDC สหรัฐยืนยันวัคซีนไฟเซอร์ลดความเสี่ยงเด็กติดเชื้อโอมิครอน [pr]ลงได้อย่างมาก
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ (11 มี.ค.) ว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 2 โดสของไฟเซอร์-ไบออนเทคนั้น สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนลงได้อย่างมากสำหรับเด็กที่มีอายุ 5-15 ปี
CDC ระบุว่า เด็กและวัยรุ่นอายุ 5-15 ปีได้รับการทดสอบหาเชื้อโควิด-19 เป็นรายสัปดาห์โดยไม่คำนึงว่ามีอาการป่วยหรือไม่ในระหว่างเดือนก.ค. 2564-ก.พ. 2565
CDC เปิดเผยว่า การติดเชื้อโอมิครอนประมาณครึ่งหนึ่งในเด็กและวัยรุ่นที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนนั้น เป็นการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ
ผลการศึกษาของ CDC บ่งชี้ว่า วัคซีนโควิด-19 จำนวน 2 โดสของไฟเซอร์-ไบออนเทคสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโอมิครอนลงได้ 31% ในเด็กอายุ 5-11 ปี และลดความเสี่ยงลงได้ 59% สำหรับเด็กวัยรุ่นอายุ 12-15 ปี
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการสร้างภูมิคุ้มกันของ CDC ได้แนะนำให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ของไฟเซอร์-ไบออนเทคสำหรับเด็กวัยรุ่นอายุ 12-15 ปีเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2564 และสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปีเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2564
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ (11 มี.ค.) ว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 2 โดสของไฟเซอร์-ไบออนเทคนั้น สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนลงได้อย่างมากสำหรับเด็กที่มีอายุ 5-15 ปี
CDC ระบุว่า เด็กและวัยรุ่นอายุ 5-15 ปีได้รับการทดสอบหาเชื้อโควิด-19 เป็นรายสัปดาห์โดยไม่คำนึงว่ามีอาการป่วยหรือไม่ในระหว่างเดือนก.ค. 2564-ก.พ. 2565
CDC เปิดเผยว่า การติดเชื้อโอมิครอนประมาณครึ่งหนึ่งในเด็กและวัยรุ่นที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนนั้น เป็นการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ
ผลการศึกษาของ CDC บ่งชี้ว่า วัคซีนโควิด-19 จำนวน 2 โดสของไฟเซอร์-ไบออนเทคสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโอมิครอนลงได้ 31% ในเด็กอายุ 5-11 ปี และลดความเสี่ยงลงได้ 59% สำหรับเด็กวัยรุ่นอายุ 12-15 ปี
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการสร้างภูมิคุ้มกันของ CDC ได้แนะนำให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ของไฟเซอร์-ไบออนเทคสำหรับเด็กวัยรุ่นอายุ 12-15 ปีเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2564 และสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปีเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2564