แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Chanapot

หน้า: 1 ... 426 427 [428] 429 430 ... 440
6406
สั่งซื้อสินค้าได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/PLU0501 [pr]

6407
'ไลอ้อน' บรรลุเป้าหมาย 'โครงการ LION Goodness Market - Season 1' หนุน SMEs [pr] รายย่อย 53 ร้านค้าฝ่าวิกฤตโควิด-19 สร้างยอดขาย

บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจพัฒนาสินค้านวัตกรรม เพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ตามพันธสัญญา 'นำความดีสู่สังคม สร้างสุขภาวะที่ดีสู่ผู้บริโภค' เผยผลสำเร็จในการดำเนิน 'โครงการ LION Goodness Market - Season 1' เพื่อร่วมขับเคลื่อนธุรกิจ SMEs รายย่อย ให้เดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยมอบสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งการช่วยโปรโมทร้านค้า ช่วยโฆษณาสร้างยอดขายผ่านสื่อออนไลน์ รวมไปถึงการจัดคอร์สอบรมและให้คำแนะนำการทำตลาดออนไลน์ที่ร้านค้าสามารถนำไปใช้ได้จริง

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวนับว่าประสบความสำเร็จเป็นไปตามเป้าหมาย และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยธุรกิจ SMEs รายย่อย 53 ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ได้รับคำแนะนำในการทำการตลาดออนไลน์ ได้จัดทำชิ้นงานสำหรับโปรโมทร้านค้าและการทำโฆษณาสร้างยอดขายผ่านสื่อออนไลน์จากทีมงานมืออาชีพ ซึ่ง 74% ของผู้เข้าร่วมโครงการพึงพอใจต่อผลลัพธ์ช่วยต่อยอดขาย และ 72% พอใจกับผลลัพธ์หลังการทำโฆษณาทำให้ต่อยอดคนติดตามในแฟนเพจ มีผู้เห็นเพจและสินค้า ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพิ่มจำนวนผู้ติดตามรวมถึงการแชร์เพจเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ สามารถสร้างการรับรู้ให้กับร้านค้าได้เพิ่มขึ้นถึง 98% รวมทั้งได้ลูกค้ารายใหม่มากขึ้นถึง 83% ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีร้านค้ากว่า 61% สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น และมีหลายร้านค้าที่สามารถจำหน่ายสินค้าจนหมดสต็อกอีกด้วย นับเป็นผลตอบรับที่ดีของโครงการที่ได้มีส่วนช่วยเหลือให้ร้านค้ารายย่อยประสบผลสำเร็จ เห็นผลลัพธ์ด้านยอดขายอย่างชัดเจน

ไลอ้อน ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการต่อไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการจัดโครงการใน Season 2 รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ LION Goodness Society และติดตามกิจกรรมอื่นๆ จากไลอ้อนได้ทาง LINE : @LIONFAMILY

6409
CHAYO โชว์งบปี 64 กวาดกำไร [pr]222 ลบ. พุ่ง 43% จากปีก่อน ปี 65 ตั้งเป้ารายได้ ทะยานต่อ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 25%

CHAYO ประกาศงบปี 2564 สวย รายได้รวม 720 ล้านบาท โต 50 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน ขณะที่กำไรโตหรูไม่แพ้กัน โดยมีกำไรสุทธิ 222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้การขายสินทรัพย์หนุน โดยสิ้นปี 2564 มีพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพบริหารกว่า 73,000 ล้านบาท ตั้งเป้าในระยะ 3 ปี 2565-2567 เติบโตของรายได้เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 20-25% ต่อปี และคาดว่าปี 2565 จะใช้เงินลงทุนในการซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มอีกประมาณ 3,000 ล้านบาท

นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ธุรกิจเจรจาติดตามเร่งรัดหนี้สิน ธุรกิจปล่อยสินเชื่อ และธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดปี 2564 มีรายได้รวม 720.39 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 241.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 50.36 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่นั้นเกิดจาก การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพจำนวน 244.61 ล้านบาท และรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจำนวน 21.82 ล้านบาท

ในปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 543.01 จากปี 2563 อยู่ที่ 361.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 181.22 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิสำหรับปีอยู่ที่ 222.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 67.24 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 75.40 - 75.50 ของรายได้ และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 30.82

ทิศทางธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ได้เข้าเจรจาซื้อพอร์ตหนี้จากสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยมีงบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะซื้อหนี้มาบริหารได้ประมาณ 10,000 - 12,000 ล้านบาท (ทั้งนี้ไม่รวม JV ที่จะจัดตั้งกับสถานบันการเงินตามนโยบายของ ธปท.)

"ปี 2565 ยังคงเป็นปีแห่งโอกาสของ CHAYO ในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารรวมถึงการจัดตั้ง JV ร่วมกับสถาบันการเงิน โดยบริษัทคาดว่าหนี้เสียยังคงอยู่ในปริมาณที่สูง และสถาบันการเงินจะทยอยขายหนี้เสียมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯมีความพร้อมที่จะรุกธุรกิจซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่เรามีความเชี่ยวชาญ สามารถสร้างการเติบโตทั้งในแง่ของยอดขายและกำไร และในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะรุกธุรกิจปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่องโดยตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อในปี 2565 ไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าในปี 2565 บริษัทจะโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน และมั่นใจบริษัทจะรักษาระดับนี้ได้ในปี 2566-2567 ด้วยเช่นกัน" นายสุขสันต์ กล่าว

6410
ดอลลาร์แข็งค่า [pr]เทียบสกุลเงินหลัก จากอานิสงส์แรงซื้อสกุลเงินปลอดภัย

ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตยูเครน

ณ เวลา 00.46 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.72% สู่ระดับ 97.40 ขณะที่ยูโรดิ่งลง 1.07% สู่ระดับ 127.62 เยน และร่วงลง 0.9% สู่ระดับ 1.112 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์อ่อนค่า 0.16% สู่ระดับ 114.81 เยน

นายเซอร์เก ชอยกู รมว.กลาโหมรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียจะยังคงใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายหลักในการปกป้องตนเองจากภัยคุกคามของชาติตะวันตก

"สิ่งสำคัญสำหรับเราคือการปกป้องรัสเซียจากภัยคุกคามด้านการทหารจากชาติตะวันตก ซึ่งกำลังพยายามใช้ชาวยูเครนในการสู้รบต่อประเทศของเรา" นายชอยกูกล่าว
การเจรจาโดยตรงระหว่างคณะผู้แทนของรัสเซียและยูเครนเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศได้สิ้นสุดลงเมื่อวานนี้ โดยไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด และทั้งสองฝ่ายจะทำการเจรจารอบต่อไปที่ชายแดนเบลารุสและโปแลนด์ในอีกไม่กี่วัน

นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในวันที่ 2-3 มี.ค. โดยอาจเป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงินต่อสาธารณะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 15-16 มี.ค.

ทั้งนี้ นายพาวเวลจะกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันที่ 2 มี.ค. และต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 3 มี.ค. โดยการแถลงทั้งสองวันจะเริ่มขึ้นในเวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย

การแถลงนโยบายการเงินดังกล่าวจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในปีนี้ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี และเป็นการส่งสัญญาณว่าวิกฤตการณ์ในยูเครนจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดหรือไม่ หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดบางรายระบุว่า เฟดจะนำผลกระทบที่เกิดจากความขัดแย้งในยูเครนเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณานโยบายการเงินของเฟด

ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.พ.ในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 415,000 ตำแหน่งในเดือนดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 467,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 150,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.9%

6411
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน [pr]: ฟุตซี่ปิดร่วง 128.05 จุด หุ้นแบงก์-เหมืองแร่ร่วงกดดันตลาด

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงในวันอังคาร (1 มี.ค.) หลังวิกฤตการณ์ที่เลวร้ายลงในยูเครนฉุดหุ้นกลุ่มธนาคารและหุ้นเหมืองแร่ที่ทำธุรกิจในรัสเซียร่วงลง นอกจากนี้ การเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียนถ่วงตลาดลงด้วย

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,330.20 จุด ร่วงลง 128.05 จุด หรือ -1.72%

หุ้นกลุ่มธนาคาร อาทิ เอชเอสบีซี, พรูเดนเชียล, ลอยด์ส แบงกิ้ง กรุ๊ป และบาร์เคลยส์ ถ่วงตลาดลงมากที่สุด หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอังกฤษลดลง เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อพันธบัตรซึ่งเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตยูเครน

ตลาดหุ้นลอนดอนถูกถ่วงลง หลังมีรายงานว่า การเจรจาโดยตรงระหว่างคณะผู้แทนของรัสเซียและยูเครนเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศได้สิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ โดยไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด และทั้งสองฝ่ายจะทำการเจรจารอบต่อไปที่ชายแดนเบลารุสและโปแลนด์ในอีกไม่กี่วัน

หุ้นเหมืองแร่ที่ทำธุรกิจในรัสเซีย อาทิ หุ้นโพลีมีทัล และหุ้นเอฟราซ ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง

หุ้นเชลล์ ร่วงลง 1.1% หลังเปิดเผยว่าจะยุติการดำเนินงานในรัสเซีย รวมถึงโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว หลังรัสเซียบุกโจมตียูเครน

หุ้นฟลัทเทอร์ เอ็นเทอร์เทนเมนต์ ซึ่งทำธุรกิจ. ร่วงลง 12.4% หลังเปิดเผยผลกำไรปี 2564 ลดลง 11%

แต่หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า พุ่งขึ้น 1.38% สวนทางตลาด หลังทำข้อตกลงมูลค่า 760 ล้านดอลลาร์กับบริษัทนูริมมูน (Neurimmune) ของสวิตเซอร์แลนด์เพื่อพัฒนาการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว

6412
STOWER เข้าเทคธุรกิจบริการโทรคมฯในฟิลิปปินส์ดันรายได้ปี 65 เพิ่ม [pr]กว่า 400 ลบ.

บมจ.สกาย ทาวเวอร์ (STOWER) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัท อัลตร้า เอเชีย จำกัด (UAT) ซึ่งเป็ฯบริษทย่อยที่ STOWER ถือหุ้น 99.99% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด เข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญของบริษัท QROI Network Services Inc. (QNSI) ประเทศฟิลิปปินส์ จำนวน 64,317 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 67% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 1,959 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 3.84 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 126 ล้านบาท เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้และกำไรให้กับบริษัท รวมทั้งสร้างพันธมิตรทางธุรกิจโทรคมนาคมในต่างประเทศ

นายธีรชัย ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STOWER กล่าวว่า QROI เป็นบริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการด้านโทรคมนาคมในฟิลิปปินส์ (Telecom Implementation Service) ที่ประกอบธุรกิจ ให้บริการติดตั้งและทดสอบระบบสื่อสารโทรคมนาคมในสถานีฐานของโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงให้บริการวางแผนและปรับปรุงระบบโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Network Planning and Optimization Service)

โดยเป็นบริษัทอันดับหนึ่งที่มีทีมวิศวกรรมโทรคมนาคมมากที่สุดและได้รับการรับรองจากบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ Huawei และ Ericsson ซึ่งในปัจจุบันผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ทั้ง 3 รายในประเทศฟิลิปปินส์ มีการเพิ่มจำนวนสถานีส่งสัญญาณจำนวนมากเพื่อขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และมีการอัพเกรดอุปกรณ์ส่งสัญญาณเป็นระบบ 4G และ 5G อันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลและความต้องการใช้บริการโทรศัพท์มือถือของประชากรกว่า 109 ล้านคน ที่มีกว่า 190 ล้านหมายเลข

นอกจากนี้ QROI ยังมีศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจจากจุดแข็งที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งบริการด้านปฎิบัติงานและบำรุงรักษาอุปกรณ์สื่อสาร (O&M) รวมถึงการบริหารพลังงานไฟฟ้าให้กับสถานีฐาน

จากประสบการณ์ของผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง QROI ชาวฟินแลนด์ที่ได้ดำเนินธุรกิจด้านเทเลคอมในหลายประเทศทั่วโลก และดำเนินธุรกิจในประเทศฟิลิปปินส์มากว่า 5 ปี มีรายได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 64 มีรายได้ประมาณ 640 ล้านเปโซ หรือประมาณกว่า 400 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี (EBT) ประมาณ 75 ล้านเปโซ หรือประมาณ 48 ล้าน ซึ่งมีการตรวจสอบบัญชีโดยบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีขนาดใหญ่ (Big 4)

ทั้งนี้ การเข้าถือหุ้นดังกล่าวจะทำให้ QROI เป็นบริษัทย่อยของ STOWER และจะสามารถนำรายได้และกำไรมารวมเป็นงบการเงินเดียว (Consolidated Financial Statement) โดย STOWER จะรับรู้รายได้และกำไรตั้งแต่ไตรมาส 1/65 ทันที ซึ่งจะทำให้รายได้ของ STOWER เติบโตอย่างก้าวกระโดดนอกเหนือจากธุรกิจหลักในประเทศและธุรกิจให้เช่าสถานีโทรคมนาคมในประเทศฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักธุรกิจในต่างประเทศได้สนใจเข้าลงทุนกับ STOWER โดยการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) การเข้าลงทุนของนักธุรกิจดังกล่าว จะเป็นการเสริมสร้างพันธมิตรทางธุรกิจโทรคมนาคมในต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

6414
B2C E-commerce กลุ่มสินค้า ปี' 65 คาดขยายตัว [pr]ราว 13.5% จากการดึงส่วนแบ่งหน้าร้านโดยเฉพาะอาหารและของใช้ส่วนตัว

.ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ว่าผลการสำรวจพฤติกรรมการเลือกใช้แพลตฟอร์ม E-commerce ของผู้บริโภค พบว่า สัดส่วนการซื้อสินค้าแต่ละกลุ่มผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้บริโภคในปี 2565 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายในภาพรวมของสินค้าแต่ละประเภท อย่างไรก็ตาม จากภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของโควิด-19 และสถานการณ์ความไม่สงบในยูเครนที่อาจยืดเยื้อ ส่งผลให้คาดว่า ผู้บริโภคจะยังคงมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

อีกทั้งผู้บริโภคได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการวางแผนปรับลดการใช้จ่ายผ่านหน้าร้าน (Physical stores) มาเป็นการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (E-commerce) มากขึ้น ภายใต้งบประมาณการใช้จ่ายโดยรวมที่ยังคงจำกัดหรือไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหารและของใช้ส่วนตัวที่เดิมทีผู้บริโภคมักซื้อผ่านช่องทางหน้าร้าน ไม่ว่าจะเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต และคอนวีเนี่ยนสโตร์ แต่จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและการปรับตัวของผู้ประกอบการค้าปลีกผ่านการทำกลยุทธ์ Omni-channel (Offline to Online) ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น สะท้อนได้จากยอดขายของผู้ประกอบการค้าปลีกบางรายที่ยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในปีที่ผ่านมาโต 2-3 เท่าตัว แต่ยอดขายในภาพรวมกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักหรือโตในกรอบจำกัด (และเป็นผลของราคาเป็นหลัก) สอดคล้องไปกับผลสำรวจของผู้บริโภคที่คาดว่าปีนี้ จะหันมาใช้จ่ายซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นกว่า 35% ขณะที่งบประมาณยังคงเท่าเดิมหรือใช้จ่ายอย่างจำกัด

ส่งผลให้ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธุรกิจ B2C E-commerce กลุ่มสินค้าปี 2565 น่าจะมีมูลค่าตลาดราว 5.65 แสนล้านบาท ขยายตัว 13.5% (YoY) ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับในช่วง 3 ปีก่อนหน้า (ปี 2562-2564) ที่ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 40% โดยการขยายตัวของ B2C E-commerce ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาสินค้าที่ไม่สูงและทำให้รู้สึกถึงความคุ้มค่าโดยเฉพาะจากการจัดทำโปรโมชั่นของผู้ประกอบการที่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งมีความถี่ขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคก็มีความสะดวกและคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าออนไลน์ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจากการระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ คาดว่า ส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจ B2C E-commerce กลุ่มสินค้าจะขยับเพิ่มขึ้นจาก 14% ในปี 2564 เป็น 16% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดค้าปลีกสินค้ารวมทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มอาหารเครื่องดื่ม และของใช้ส่วนตัว ซึ่งแม้ว่าจะยังมีสัดส่วนออนไลน์ที่น้อยมาก แต่เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นจึงคาดว่าผู้บริโภคจะยังคงมีการใช้จ่ายผ่านช่องทางดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มสินค้าแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่สัดส่วนอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเร็วจากปัจจัยด้านกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังคงใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

ทั้งนี้ นอกจากปัจจัยแวดล้อมข้างต้น ที่กดดันกำลังซื้อและการใช้จ่ายของผู้บริโภคแล้ว ยังมีโจทย์ท้าทายอีกหลายประการที่ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญและเตรียมวางแผนรับมือ ไม่ว่าจะเป็น

- การแข่งขันของธุรกิจที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากจำนวนผู้เล่นที่หันมารุกตลาดออนไลน์เพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพไม่ได้เพิ่มขึ้นเร็ว และยังคงมีกำลังซื้อที่จำกัด ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ในระยะข้างหน้า อาจจะไม่ง่ายนักเมื่อเทียบกับอดีต โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหรือรายย่อย หากสินค้าและบริการไม่แตกต่างหรือปรับตัวไม่ทันตามความต้องการของผู้บริโภค ก็จะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงและยากลำบากขึ้น ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์ม E-market place ที่แม้ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก็ใช้งบประมาณในการจัดทำโปรโมชั่นค่อนข้างสูง เพื่อกระตุ้นตลาด ส่งผลให้กำไรยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน โดยปี 2564 คาดว่า กำไรจะกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกเพียงเล็กน้อยราว 2-3% จากที่ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 30-40% หรือแม้แต่กลุ่มค้าปลีก Modern trade ออนไลน์ ที่กลายเป็นแพลตฟอร์มที่เหมือนจะได้เปรียบ เพราะผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้ากลุ่มอาหารและของใช้ส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งยังคงเป็นสินค้าที่จำเป็นและยังมีโอกาส แต่ก็เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่หันมารุกช่องทางออนไลน์เช่นกัน

-ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นและอาจยืนระดับสูงในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปีนี้หากผลกระทบจากความไม่สงบในยูเครนยืดเยื้อ นอกจากจะกระทบต่อราคาค่าขนส่งสินค้าแล้ว ยังกระทบค่าครองชีพครัวเรือนและต้นทุนธุรกิจอื่นๆ ด้วย ส่งผลตามมาต่อกำลังซื้อผู้บริโภคโดยรวมและการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของลูกค้า อีกทั้ง จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่ามุมหนึ่งอาจจะหนุนให้ผู้บริโภคยังคงเลือกซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้น แต่หากการระบาดกลับมารุนแรงจนกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) อื่นๆ อย่างธุรกิจจัดส่งสินค้า หรือ Last-mile delivery ได้รับผลกระทบ จนทำให้การจัดส่งสินค้าต้องหยุดชะงักชั่วคราวหรือใช้ระยะเวลาในการจัดส่งที่นานขึ้น ก็คงจะส่งผลกระทบต่อมายังผู้ประกอบการ E-commerce แต่ละรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม

-ผู้บริโภคยังมีความกังวลในเรื่องของคุณภาพของสินค้าและการให้บริการ จากการสำรวจ พบว่า กว่า 56% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยังคงไม่มั่นใจในเรื่องของคุณภาพสินค้าและความน่าเชื่อถือของร้าน และอีกกว่า 41% อยากให้มีการพัฒนาในเรื่องของการให้บริการของพนักงานขาย พนักงานจัดส่ง ซึ่งหากธุรกิจ E-commerce มีการปรับตัวและลดปัญหาหรือคลายความกังวลในจุดต่างๆ ของห่วงโซ่อุปทานได้ ก็น่าจะทำให้สัดส่วนมูลค่าสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ขยายตัวได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า รวมถึงการควบคุมหรือรักษาคุณภาพในการให้บริการของพนักงานขายที่สม่ำเสมอ เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เป็นต้น

นอกจากนี้ จากแนวโน้มการหดตัวของประชากรไทยในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า จะมีผลต่อปริมาณการบริโภคหรือการใช้จ่ายในภาคค้าปลีกที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเติบโตได้จำกัด และน่าจะส่งผลต่อภาพการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกในภาพรวมที่รุนแรงขึ้นอีก อีกทั้งมองว่า โควิดจะเปลี่ยนจากโรคระบาดไปสู่โรคประจำถิ่น ซึ่งในที่สุดผู้บริโภคจะต้องปรับตัวอยู่กับโรคดังกล่าว ขณะที่การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แม้ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังจากเปิดประเทศ แต่อาจยังต้องใช้เวลากว่าจะกลับไปสู่ภาวะปกติ ดังนั้น นอกเหนือจากตลาดในประเทศ ผู้ประกอบการ E-commerce ที่มีศักยภาพอาจมองหาตลาดใหม่ และขยายช่องทางการตลาดออนไลน์ไปยัง Cross-border E-commerce ซึ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศได้มากขึ้น และสินค้าไทยบางกลุ่มยังคงเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ และมีโอกาสขยายตัวในตลาดต่างประเทศได้ เช่น อาหารแห้งและเครื่องดื่ม เครื่องสำอางสมุนไพรไทย อาหารเสริมสุขภาพ สินค้าหัตถกรรม เป็นต้น แต่จะต้องทำการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและกฎระเบียบเงื่อนไขต่างๆ ในการทำธุรกิจ Cross-border E-commerce ของแต่ละประเทศให้ชัดเจน

6415
ขอบคุณมากครับ สินค้าคุณภาพ ดันๆๆ

6416
โปรโมชั่นใหม่ๆประจำโดเด่นด้วยโบนัสที่มีความรู้สึกว่าเยอะที่สุดในธุรกิจเดียวกัน

6417
'ดิสนีย์' ระงับฉายภาพยนตร์ [pr]ทั้งหมดในรัสเซีย ประณามกรณีบุกยูเครน

บริษัทวอลท์ ดิสนีย์ ประกาศว่า ทางบริษัทจะระงับการนำภาพยนตร์ทุกเรื่องของดิสนีย์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของรัสเซีย เพื่อตอบโต้รัสเซียที่ใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน

ดิสนีย์ระบุในแถลงการณ์ว่า 'เมื่อพิจารณาจากการที่รัสเซียรุกรานยูเครนโดยที่ยูเครนไม่เคยกระทำการยั่วยุ และวิกฤตการณ์ด้านมนุษยชนที่เกิดขึ้นกับยูเครนในขณะนี้ ดิสนีย์ได้ตัดสินใจที่จะระงับการนำภาพยนตร์ทั้งหมดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของรัสเซีย ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ เช่น 'Turning Red' จากค่ายพิกซาร์ ส่วนการตัดสินใจในอนาคตนั้น เราจะพิจารณาเกี่ยวกับความคืบหน้าของสถานการณ์'

'ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากวิกฤตการณ์ของผู้ลี้ภัยที่เกิดขึ้นในขณะนี้แล้ว ดิสนีย์ตัดสินใจที่จะร่วมงานกับหุ้นส่วนของเราที่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) เพื่อจัดหาความช่วยเหลือเร่งด่วน และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่บรรดาผู้ลี้ภัย' ดิสนีย์ระบุในแถลงการณ์
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ดิสนีย์เป็นสตูดิโอภาพยนตร์รายแรกของฮอลลีวูดที่แสดงออกถึงการต่อต้านรัสเซียอย่างชัดเจน หลังจากที่รัสเซียใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน

ทั้งนี้ แม้ยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ในรัสเซียจะไม่มากเท่ากับยอดขายในจีน แต่รัสเซียยังคงเป็นตลาดสำคัญของดิสนีย์ โดยก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์เรื่อง 'Spider-Man: No Way Home' ซึ่งดิสนีย์อำนวยการผลิตร่วมกับบริษัทโซนี่ สามารถทำรายได้มากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ในรัสเซีย

6418
GCAP เร่งเครื่องปี 65 ส่งสัญญาณดี [pr] ลุยพอร์ตสินเชื่อโตต่อ ด้านบอร์ดไฟเขียวปันผล 0.10 บ. ต่อหุ้น

จีแคปฯ เปิดกลยุทธ์ปี 65 ตั้งธงภาคเกษตรยังเป็นลูกค้าหลัก เพราะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ดึง Data ช่วยคัดกรองคุณภาพลูกหนี้อย่างเข้มข้น และเปิดโอกาสศึกษาหาธุรกิจใหม่ เพิ่มมูลค่า ลดความเสี่ยง สร้างสมดุลของโครงสร้างรายได้ระยะยาว เตรียมขอมติผู้ถือหุ้น จ่ายปันผล 0.10 บาท/หุ้น กำหนดจ่าย 10 พ.ค. นี้ รวมทั้ง แผนเพิ่มทุนรองรับการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ เสริมแกร่งแผนขยายธุรกิจ

นายอนุวัตร โกศล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปี 2565 ว่า "กลยุทธ์ในปีนี้ของ GCAP ยังคงมุ่งเน้นที่กลุ่มเกษตรกรเป็นลูกค้าหลัก เนื่องจากภาคการเกษตรของไทยเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ และเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและทำได้ดีมาโดยตลอด สำหรับปีนี้ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อ โดยมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อเงินกู้ อยู่ในระดับ 90% และ 10% เปลี่ยนแปลงจากปี 64 ซึ่งอยู่ที่ 77% และ 23% ตามลำดับ ทั้งนี้ บริษัทยังมีมาตรการลดรายจ่าย การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์การคัดกรองลูกค้า และคุณภาพของสินเชื่อ"

นอกจากนี้ในการอนุมัติสินเชื่อรายใหม่ บริษัทได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และพิจารณาลูกค้าในมิติต่างๆ ให้รอบด้านมากขึ้น เช่น รายได้ ความสามารถในการชำระ โอกาสที่จะผิดนัดชำระ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้คุณภาพลูกหนี้ของบริษัทดีขึ้น และช่วยลด NPL ได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

ในขณะเดียวกัน GCAP ไม่หยุดนิ่งที่จะหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติม ปัจจุบันได้ศึกษาการสร้างรายได้ในด้านอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างสมดุลของโครงสร้างรายได้ให้มากขึ้น รวมถึงการสร้างรายได้จากบริการอื่นๆ จากฐานลูกค้าปัจจุบัน และการเปิดรับพันธมิตรใหม่ที่สนใจจะเข้าร่วมทำธุรกิจในรูปแบบต่างๆ นอกเหนือจากธุรกิจให้บริการสินเชื่อ

ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นและตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็นเงินรวม 30.00 ล้านบาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียน รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 14 มีนาคม 2565 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565
สำหรับผลประกอบการปี 2564 ของบริษัท ขาดทุนสุทธิ 58.67 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่ลดลงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 253.53 ล้านบาท ลดลง 76.58 ล้านบาท หรือ 23 % เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้รวม 330.11 ล้านบาท ในขณะที่ยอดปล่อยสินเชื่อในปี 2564 อยู่ที่ 403.37 ล้านบาท โดยผลขาดทุนที่เกิดขึ้น เกิดจากผลขาดทุนของเงินลงทุนในบริษัท สบายใจมันนี่ จำกัด จำนวน 25.5 ล้านบาท และผลขาดทุนจากการตั้งด้อยค่า ลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อ และ ลูกหนี้สินเชื่อเงินกู้ ในปี 2564 จำนวน 58.47 ล้านบาท

ด้านความคืบหน้าของการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการสร้างสนามบิน "เกาะเต่า" จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันอยู่ระหว่างช่วงการศึกษาเตรียมการ โดยเกาะเต่านับว่าเป็นอีก 1 ในจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกรวมถึงนักท่องเที่ยวไทย ปัจจุบันการเดินทางไปยังเกาะเต่า ใช้เวลาค่อนข้างนาน การเดินทางไม่ค่อยสะดวกมากนัก หากมีสนามบินจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวได้สะดวกมากขึ้น และเป็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจได้อีกด้วย โดยคาดว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนงาน จะสามารถเปิดใช้งานสนามบินได้ภายในปี 2565 ถือเป็นการต่อยอดจากกลุ่มลูกค้าของบริษัท ที่มีศักยภาพ มีความพร้อม และต้องการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน โดยบริษัท ในฐานะผู้ให้บริการทางด้านสินเชื่อก็พร้อมที่จะสนับสนุนลูกค้า หรือจะเป็นพันธมิตรใหม่ที่จะเข้ามาร่วมสร้างโอกาสทางธุรกิจรองรับสถานการณ์วิกฤตที่เชื่อว่าจะดีขึ้นหลังจากนี้

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมขอเสนอผู้ถือหุ้นในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (E-EGM) ในวันที่ 3 มีนาคม นี้ เรื่องการขออนุมัติเพิ่มทุนของบริษัท จำนวน 46,296,296.50 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 150,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 196,296,296.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 92,592,593 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพ ในวงเงิน 500,000,000 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ได้แก่ Advance Opportunities Fund ("AO Fund") และ Advance Opportunities Fund 1 ("AO Fund 1") ซึ่งบอร์ดได้มีมติอนุมัติมาเรียบร้อยแล้ว และจะนำเข้าขออนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 3 มีนาคม 2565 เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท รวมถึงการปล่อยสินเชื่อที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัท

โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในโครงสร้างทางการเงิน รวมทั้งใช้เงินดังกล่าวเพื่อขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจ อันจะช่วยเสริมสร้างรายได้และผลกำไรให้กับบริษัท ในอนาคต

6419
พาณิชย์ นัดถกภาคเอกชน 2 มี.ค.ประเมินผลกระทบ [pr]สถานการณ์ยูเครน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการเตรียมพร้อมรับผลกระทบจากสถานการณ์ยูเครน ว่า ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์และทุกส่วนราชการของกระทรวงฯ ติดตามสถานการณ์ยูเครนร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เกิดประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยในภาพรวมยังไม่กระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ และวันที่ 2 มี.ค.65 ตนมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ประชุมร่วมกับภาคเอกชนอีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์ และจะเร่งแก้ปัญหาหน้างานร่วมกันให้เกิดผลดีที่สุด

ในระหว่างนี้ให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ประมวลผลรายงานรายวันทุกวัน เพื่อปรับแผนรับมือสถานการณ์ทางการค้าการส่งออกและนำเข้าทั้งในส่วนของ รัสเซีย ยูเครน ยุโรป และอเมริกา

ส่วนค่าเงินรูเบิลของรัสเซีย ซึ่งมีความสำคัญต่อการนำเข้าส่งออกของไทยถือว่ายังไม่มีเสถียรภาพ มีบางช่วงแข็งค่าและอ่อนค่ายังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสถานการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนด้วย กระทบในทางบวกกับการส่งออกนำเข้าไทยมากที่สุด และกระทบทางลบน้อยที่สุด

ทั้งนี้ รัสเซียกำลังพิจารณานำเข้าสินค้าจากไทยบางรายการ ซึ่งต้องดูว่าค่าเงินยังมีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน เมื่อค่าเงินรูเบิลมีเสถียรภาพแล้ว ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้

ขณะที่เรื่องราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอาจกระทบภาคการผลิตและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทยได้ โดยขณะนี้ราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ จากที่ปรับตัวขึ้นไปแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงมาอยู่ที่ 98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป

6420
สนใจทัก
สมัครตัวแทน ทัก
---------------------------------------------------------
Line:@collagen
http://line.me/ti/p/@collagen [pr]
FB. https://www.facebook.com/manacollagedipeptide [pr]
www.manaok.com [pr]
www.manaextra.com [pr]
www.manathailand.page [pr]

หน้า: 1 ... 426 427 [428] 429 430 ... 440