แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Jessicas

หน้า: 1 ... 498 499 [500] 501 502 ... 511
7486
นายกฯ สั่งบริหารพลังงานช่วยผู้มีรายได้น้อย-พาณิชย์คุมราคาสินค้าอุปโภค [pr]

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนว่า สิ่งสำคัญวันนี้เราจะแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการสู้รบอย่างไร ซึ่งต้องมีการเตรียมหลายมาตรการไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะในเรื่องของพลังงานที่เริ่มได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นราคาก๊าซและราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการดูแลเรื่องนี้ไปแล้วพอสมควรเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตรในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำขอความร่วมมือจากประชาชนในการใช้พลังงานอย่างประหยัดเปิด-ปิดไฟเป็นเวลา รวมถึงการใช้รถยนต์ โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นการห้ามใช้รถยนต์ แต่ขอให้ลดลงและใช้เฉพาะตามความจำเป็น รวมทั้งให้ล้างทำความสะอาดแอร์ ปรับรูปแบบการทำงานเป็น WFH บ้าง ซึ่งมาตรการทั้งหมดเป็นการช่วยเหลือเพื่อลดค่าใช้จ่ายของตัวเองลง

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ส่วนที่เหลือก็ต้องหามาตรการมาดูแลตรงนี้ ซึ่งการใช้มาตรการต่างๆ ก็ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องของราคาน้ำมันดีเซล รัฐบาลก็ใช้งบประมาณวันละ 600 ล้านบาท เข้ามาดูแล และหากราคาน้ำมันเพิ่มไปแบบนี้ทุกวันจะต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ ถ้ายังต้องใช้วิธีการแบบนี้

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้เตรียมความพร้อมจากสถานการณ์รัสเซียและยูเครนที่มีผลกระทบต่อราคาสินค้าสูงขึ้น ทั้งก๊าซธรรมชาติ ค่าไฟ ราคาน้ำมัน ซึ่งสถานการณ์พลังงานสูงขึ้นเป็นรายวัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและทั่วโลก โดยได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารพลังงานอย่างเหมาะสม ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย และให้กระทรวงพาณิชย์ ดูแลเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีผลกระทบโดยตรง

นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการให้รณรงค์การประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นมาตรการไม่มีค่าใช้จ่าย โดยกำหนดให้เป็นวาระสำคัญของรัฐบาลเพื่อร่วมกันฝ่าวิกฤติ ให้ส่วนราชการลดใช้พลังงาน 20% ลดการใช้น้ำมัน 10% รวมทั้งหาวิธีประหยัดพลังงานแบบง่ายๆ เช่น การส่งเสริมการทำงานที่บ้าน (WFH)

ส่วนมาตรการเพื่อบรรเทาภาระประชาชนนั้น นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพิจารณา ซึ่งการควบคุมราคาสินค้าเป็นเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการ และรัฐบาลก็ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตามงบประมาณที่มีอยู่

ส่วนงบประมาณหรือพ.ร.ก.กู้เงิน ยังมีเพียงพอหรือไม่ หรือมีความจำเป็นจะกู้เพิ่มหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ยังต้องพิจารณาต่อไปหากสถานการณ์ยืดเยื้อ แต่ส่วนที่กู้มาแล้วนำไปใช้อย่างไรทุกคนคงทราบดีอยู่แล้ว

7487
อื่นๆ / รีวิวผลลัพธ์ผลิตภัณฑ์ Balance H
« เมื่อ: 10 2022-03-10 2022 08:%i:1646875431 »
"..รีวิวผลลัพธ์ผลิตภัณฑ์ Balance H ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม หลังจากใช้มา 1 เดือนนะคะ #สิ่งที่เห็นได้ชัดลูกผมเรื่มขึ้นเยอะขึ้นนะคะ หลังจากที่หลังคลอดมา1 ปีแล้วค่ะ
..ลูกผมแทบไม่ขึ้นเลยผมร่วงเยอะมาก..ทำให้ผมข้างๆจะบางไป ใช้มา1 เดือนแล้วผลลัพธ์โอเครเลยค่ะ.. ก่อนใช้ผมบางมาก ลูกผมเริ่มขึ้นไม่ค่อยเห็นหนังศีรษะเหมือนตอนแรก
โอเครเลย สินค้าเป็นสมุนไพรด้วย..
BALANCE H HAIR TONIC SPRAY
นวัตกรรมดูแลเส้นผมด้วยนาโนเทคโนโลยี ที่อุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนผสมของสมุนไพรเข้มข้น ทำให้ซึมเข้าสู่เซลล์ผิวหนังได้อย่างหมดจด แก้ปัญหาได้ตรงจุด
ลดการหลุดร่วงของเส้นผม ขจัดปัญหาผมมันและรังแค เสริมการเติบโตของเส้นผมใหม่
กระตุ้นรากผมให้แข็งแรง 99% ของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ติดใจซื้อไปใช้ซ้ำ 
#ผ่านมาตรฐานการรับรองความปลอดภัยจากอย.
BALANCE H HAIR TONIC SPRAY  (100 ml.)
บาลานซ์ เอช แฮร์ สเปรย์ *ของแท้จากบริษัทโดยตรง
เลขที่จดแจ้ง 13-1-6300043653
เซรั่มBALANCE H [pr]  ลดการหลุดร่วง ปลูกผม คิ้ว หนวด เครา จอน  สารสกัดเข้มข้นจากธรรมชาติ    
ปกติ 1,390 บาท  ราคาพิเศษเพียง 990 บาท
วิธีการใช้  BALANCE H
1.ฉีดพ่นบริเวณที่ผมบางหลังสระ โดยไม่ต้องล้างออก
2. นวดเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนและดูดซึมซับเข้าถึงรากผม อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ฉีดพ่นบริเวณที่ผมบางทุกวันเช้า, เย็น
*ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรงดใช้ก่อน
โปรโมชั่นพิเศษ2ขวดแถม1ขวด
ส่งฟรีเคอรี่มีบริการเก็บเงินปลายทาง
สอบถามปรึกษาทักข้อความ หรือ LINE:@balances
รายละเอีบดเพิ่มเติม > Balance H [pr]

7488
การซื้อ-ขายทั้งผองที่ดำเนินงานผ่านสะสม ได้ผ่านกรรมวิธีการตรวจสอบอย่างรอบคอบทุกรายการ
ซื้อ-ขายในราคากึ่งกลางที่ตลาดเป็นผู้กำหนด พร้อมบริการข้างหลังการขายระดับพรีเมียม รวมไปถึงการไม่เปิดเผยตัวตน เรามอบประสบการณ์การซื้อขายที่เยี่ยมที่สุดในตลาด
ซื้อ-ขายง่าย ปลอดภัย ไม่ต้องเผยตัวตน หรือติดต่อกับผู้บริโภคหรือคนขายโดยตรง ช้อปมากมายสินค้าที่คุณอยากได้ในเพียงแต่ไม่กี่คลิก ในเว็ปไซต์สะสม SASOM
เข้าถึงข้อมูลราคาขายปัจจุบันบนแพลตฟอร์ม ช่วยทำให้คุณสามารถวิเคราะห์ คาดการณ์ และก็ศึกษาเล่าเรียนมูลค่าของสินค้า เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ-ขายได้มีคุณภาพยิ่งขึ้น

กรรมวิธีซื้อ  Jordan 1 Retro High Court Purple
ขั้นตอนที่ 1: เลือกของ SASOM ของคุณ
เลือกสินค้าที่คุณต้องการ แล้วคลิกที่ปุ่มซื้อ ถ้าหากปุ่มซื้อไม่พร้อมใช้งาน สามารถอ่านเพิ่มเติมอีกถึงที่เหมาะ "ไม่มีปุ่มกดซื้อผลิตภัณฑ์ที่ฉันอยากได้"
ขั้นตอนที่ 2: เลือกราคา, ไซส์ และก็ภาวะผลิตภัณฑ์ที่คุณปรารถนา
เลือกราคา, ขนาด และภาวะสินค้าที่คุณอยากได้ แล้วปฏิบัติงานต่อที่หน้าชำระเงิน
ขั้นตอนที่ 3: กรอกที่อยู่ในการจัดส่ง  Jordan 1 Retro High Court Purple
กรอกที่อยู่aสำหรับในการจัดส่ง หรือเลือกที่อยู่ที่คุณบันทึกไว้ คุณสามารถเลือกซื้อบริการเสริม (Add-on service) หรือเข้ารหัสส่วนลด (ถ้าหากมี) แล้วกดเห็นด้วยกฎเกณฑ์และก็ข้อแม้ก่อนคลิกถัดไป
ขั้นตอนที่ 4: ชำระเงิน  Jordan 1 Retro High Court Purple [pr]
เลือกกรรมวิธีจ่ายเงินที่คุณต้องhttps://bit.ly/35caTdKได้ โดยคุณสามารถมองข้อมูลวิถีทางการชำเงินต่างๆถึงที่กะไว้ "หนทางการจ่ายเงิน"
ขั้นตอนที่ 5: สะสมดำเนินการจัดส่งสินค้า  Jordan 1 Retro High Court Purple
สะสมจัดการจัดส่งสินค้าถึงมือคุณ! พร้อมรับประกันผลิตภัณฑ์ว่าเป็นของแท้ 100% ประสิทธิภาพรวมทั้งสภาพสินค้าตรงตามมาตรฐานของสะสม ถ้าหากเกิดเหตุขัดข้องใดๆ
เกี่ยวกับรายการสั่งซื้อของคุณ ทางพวกเราชัดเจนให้คุณรู้และหาโอกาสที่เยี่ยมที่สุดให้กับคุณ



https://bit.ly/34ikXBo [pr]

7490
กลุ่มปิโตรฯลบสวนทางราคาน้ำมัน [pr]หวั่นสถานการณ์ยูเครนกดดีมานด์ยุโรป-สเปรดหด

ดัชนีหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวลง 1.56% สวนทิศทางราคาน้ำมัน จากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนกระทบภาพรวมเศรษฐกิจกลับมาชะลอตัว โดยเฉพาะยุโรป ซึ่งจะส่งผลต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุมปิโตรเคมีให้ชะลอตัวตามไปด้วย และราคาน้ำมันที่พุ่งสูงส่งผลทำให้ส่วนต่างราคาขายผลิตภัณฑ์ (สเปรด) ปรับตัวลดลง

หุ้นกลุ่มปิโตรในวันนี้ที่ปรับตัวลงแรงนำโดย IVL ลบ 2.87% หรือ 1.25 บาท มาที่ 42.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 748.13 ล้านบาท

PTTGC ลบ 1.02% หรือ 0.50 บาท มาที่ 48.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 401.88 ล้านบาท

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นกลุ่มปิโตรเคมียังคงได้รับแรงกดดันจากผลกระทบของความชัดแย้งระหว่างรัวสเซียและยูเครน ซึ่งส่งผลต่อกระทบให้ภาพเศรษฐกิจของโลกจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีในปีนี้หลายเป็นชะลอลง โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก อาจทำให้เศรษฐกิจถึงขั้นถดถอย ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีก็จะชะลอตัวไป

อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้สเปรดมีแนวโน้มลดลง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง สวนทางกลุ่มหุ้นโรงกลั่นที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน

 

7491
ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP02 [pr]

7494
พาณิชย์เผยไทยใช้สิทธิส่งออก [pr]ภายใต้ RCEP ช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ 1,165 ลบ.

นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 65 จนถึงวันที่ 28 ก.พ. 65 ผู้ส่งออกไทยได้มีการมาขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลง RCEP (Form RCEP) เป็นมูลค่าสูงถึง 1,165.52 ล้านบาท

ทั้งนี้ เป็นการส่งออกไปญี่ปุ่นมากที่สุดเป็นอันดับแรก คิดเป็นมูลค่า 540.36 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้าปลาปรุงแต่งประเภทปลาเฮอร์ริง ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ค ผักปรุงแต่ง และสิ่งทอ ลำดับรองลงมาคือจีน อยู่ที่ 453.95 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าพืช ผัก ผลไม้สด เช่น มันสำปะหลัง ลำไย ทุเรียน และมะพร้าว เป็นต้น และอันดับที่ 3 คือ เกาหลีใต้ มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 171.21 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าถุงลมนิรภัยพร้อมระบบพองลม รถจักรยานยนต์ ไขมันและน้ำมันชนิดระเหย แชมพู เชิ้ตของบุรุษหรือเด็กชายทำด้วยฝ้าย

อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP ในเดือนก.พ. 65 กับเดือนม.ค. 65 ซึ่งเป็นเดือนแรกของการเริ่มบังคับใช้ความตกลง RCEP จะเห็นได้ว่าในเดือนก.พ. มีมูลค่าการขอใช้สิทธิฯ สูงถึง 887.67 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นถึง 219.49%

สำหรับเดือนม.ค. 65 มีการขอใช้สิทธิฯ ภายใต้ RCEP อยู่ที่ 277.84 ล้านบาท เป็นการส่งออกไปยัง 2 ตลาดหลัก คือ ญี่ปุ่นและจีน และตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 65 ที่ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้กับเกาหลีใต้ จึงได้เริ่มมีการส่งออกไปยังเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นมา โดยการส่งออกไปยังเกาหลีใต้ในเดือนก.พ. ยังมีมูลค่าไม่สูงมากนัก อยู่ที่ประมาณ 171.21 ล้านบาท โดยสินค้าที่มีการขอหนังสือรับรอง Form RCEP ส่วนใหญ่เป็นสินค้าได้รับสิทธิในการลดภาษีจากเกาหลีใต้เพิ่มเติมภายใต้กรอบ RCEP รวมถึงเกณฑ์การได้ถิ่นกำเนิดสินค้าที่ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการส่งออกโดยใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (AKFTA)

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ภายใต้ RCEP การใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีของผู้ส่งออกไทย ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการที่ผู้ส่งออกจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีขาเข้าของประเทศปลายทางที่เพิ่มมากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าไทยมีการส่งออกภายใต้ RCEP ไปยังญี่ปุ่นและจีนมากที่สุด

ในส่วนของสินค้าที่มีการส่งออกไปญี่ปุ่น ได้แก่ สินค้าปลาปรุงแต่ง ทูน่ากระป๋อง ซึ่งไทยได้รับการลดภาษีเหลือ 0% อยู่แล้วภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) แต่ความได้เปรียบภายใต้ความตกลง RCEP เกิดขึ้นเนื่องจากเกณฑ์การได้ถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ RCEP ที่มีข้อกำหนดของหลักเกณฑ์ที่ง่ายขึ้น

สำหรับความตกลง RCEP ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขในการได้มาซึ่งวัตถุดิบในการนำมาผลิต ต่างจากความตกลง JTEPA ที่มีข้อกำหนดว่าปลาที่นำมาแปรรูปนั้น จะต้องเป็นปลาที่ได้จากเรือประมงที่ได้รับอนุญาต และ AJCEP ที่กำหนดว่า ปลาที่นำมาแปรรูปจะต้องเป็นปลาที่ได้จากประเทศสมาชิกภายใต้ความตกลงฯ เท่านั้น รวมถึงการส่งออกสินค้าพืช ผัก ผลไม้สด ไปจีน ที่แม้ว่าภายใต้ RCEP ส่วนใหญ่จะได้รับการลดภาษีในระดับที่เท่ากันกับกรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) คือเป็น 0%

ทั้งนี้ เนื่องจากความตกลง RCEP มีข้อกำหนดเรื่องการตรวจปล่อยสินค้าที่ชัดเจน คือ กรณีที่เป็นไปได้ให้ตรวจปล่อยสินค้าเน่าเสียง่ายให้แล้วเสร็จภายใน 6 ชั่วโมง และสำหรับสินค้าทั่วไป ให้มีการตรวจปล่อยสินค้าให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง จึงคาดว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการมาขอใช้สิทธิภายใต้ RCEP กันมาก เนื่องจากสามารถวางแผนการนำเข้าส่งออกสินค้าล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองโดยผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต (Self-declaration by Approved Exporter) ซึ่งเป็น 1 ใน 2 รูปแบบของการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้ได้ตามความตกลง RCEP ในปัจจุบัน ผู้ส่งออกจะต้องมาขอขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาตก่อน จึงจะสามารถออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองได้

ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 2 เดือนตั้งแต่ความตกลง RCEP มีผลใช้บังคับ มีผู้ส่งออกมาขอขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศแล้ว จำนวน 22 ราย ประกอบด้วย ผู้ส่งออกเครื่องประดับ อาหารสำเร็จรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ซึ่งตามประกาศกรมการค้าต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนสำหรับการรับรองตนเองมีหน้าที่จะต้องรายงานรายละเอียดต่อกรมการค้าต่างประเทศ ว่ามีหรือไม่มีการส่งออกภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

สำหรับในเดือนม.ค. 65 ไทยยังไม่มีการส่งออกสินค้าที่ขอใช้สิทธิฯ ด้วยรูปแบบของการรับรองตนเอง คาดว่าสาเหตุเนื่องมาจากผู้ส่งออกยังไม่มีความมั่นใจที่จะรับรองตนเองสำหรับการส่งออก โดยยังมีข้อกังวลว่าหนังสือรับรองที่ออกด้วยตนเองอาจถูกตรวจสอบจากศุลกากรของประเทศปลายทางมากกว่าการใช้ Form RCEP ที่ออกให้โดยกรมการค้าต่างประเทศ

นอกจากนี้ ผู้ส่งออกที่จะรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองได้ จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเป็นอย่างดีอีกด้วย อย่างไรก็ดี ทางกรมการค้าต่างประเทศ เห็นว่าการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออก จะเป็นประโยชน์ในการช่วยลดขั้นตอนในการออกเอกสารส่งออก และลดต้นทุนด้านเอกสารให้แก่ผู้ส่งออกได้ในระยะยาว จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการใช้รูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองให้มากขึ้น

"กรมการค้าต่างประเทศ ยินดีให้คำปรึกษาเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า และการขอใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ RCEP รวมถึงสิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีต่างๆ ทั้งหมด และเพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศมีกำหนดจัดงานสัมมนาเพื่อให้ความรู้และประชาสัมพันธ์สิทธิประโยชน์จากตามความตกลง RCEP ตามจังหวัดเป้าหมายในทุกภูมิภาค อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต นครพนม มุกดาหาร สงขลา จันทบุรี และระยอง ในระหว่างเดือนเม.ย.-ก.ย. 65 โดยขอให้ติดตามกำหนดการและการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาได้จากเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th [pr] ต่อไป" อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าว

7495
'ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์' คว้า 3 รางวัลรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2565 [pr]

บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ตอกย้ำการเป็นสุดยอดแบรนด์รถจักรยานยนต์สัญชาติอังกฤษที่มีเอกลักษณ์ คว้า 3 รางวัลรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2565 (Bike of the Year 2022) จัดโดยบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) จากรุ่น 'ไทรเดนท์ 660' (Trident 660) ที่สุดของจักรยานยนต์โรดสเตอร์ขนาดกลางที่ได้รับรางวัล Best Naked Middle Weight ตามด้วยรุ่น 'บอนเนวิลล์ ที120' (Bonneville T120) รถจักรยานยนต์โมเดิร์นคลาสสิกในตำนานที่ได้รับรางวัล Best Modern Classic Heavy Weight และรุ่น 'ร็อกเก็ต 3 อาร์' (Rocket 3 R) สุดยอดจักรยานยนต์โรดสเตอร์อันทรงพลังด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 2,500 ซีซี ในรางวัล Best Cruiser Heavy Weight ตอกย้ำการเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ระดับพรีเมียมที่พร้อมสร้างสรรค์รถจักรยานยนต์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ผสมผสานงานออกแบบที่สวย คลาสสิก ร่วมสมัย เข้ากับความแม่นยำในการควบคุมรถ และสมรรถนะอันเป็นเลิศ เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ ตามสโลแกน 'FOR THE RIDE' ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ .รูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

 

7499
ภาวะตลาดหุ้นไทย [pr]แนวโน้มดัชนีเช้าปรับลงตามภูมิภาคกังวลเงินเฟ้อพุ่งหลังรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับตัวลง สอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย แม้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อกลุ่มพลังงาน แต่นักลงทุนก็กังวลว่าอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและกระทบต่อเศรษฐกิจโลกชะงักงันในระยะต่อมาได้ โดยมองว่าใน 1-3 สัปดาห์นี้ ตลาดฯ น่าจะตอบรับปัจจับเชิงลบจากปัจจัยดังกล่าวมากขึ้น

ให้แนวรับ 1,650-1,660 จุด และแนวต้าน 1,675-1,680 จุด

บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ความกังวลวิกฤตยูเครนมีแนวโน้มตึงเครียดขึ้น หลังรมว.ต่างประเทศสหรัฐระบุว่าสหรัฐและชาติพันธมิตรกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย ขณะที่ฝั่งรัสเซียเริ่มออกมาตรการตอบโต้ยุโรปผ่านการระงับการจ่ายก๊าซไปยังเยอรมนีทางท่อส่งก๊าซธรรมชาติ Yamal?Europe ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของปริมาณความต้องการใช้ในยุโรป มองอาจส่งผลกระทบให้สถานการณ์ดังกล่าวยืดเยื้อและอาจทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นแรงคาดจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม รวมทั้งการผลิตไฟฟ้าและปิโตรเคมีในยุโรป คาดจะกดดันทิศทางเศรษฐกิจโลก รวมทั้งยังหนุนทิศทางเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นแรงต่อเนื่องในระยะสั้น มองตลาดจะยังอยู่ในภาวะ Risk-off ต่อไป สะท้อนจาก US Bond Yield ยังคงอ่อนตัวลงต่อเนื่องล่าสุดรุ่นอายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 1.7341% (-2.88%) คาดกดดันทิศทางสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงได้ต่อ

แนะนำวันนี้ติดตามการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รอบที่ 3 คาดจะส่งผลให้ตลาดผันผวนได้ต่อ

 

7500
XIM BANK รับรางวัล 'บูทสวยงามยอดเยี่ยม [pr]' ในงาน Money Expo 2021

นายชลัช รัตนบุญนิธิ (ซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) รับมอบรางวัล 'บูทสวยงามยอดเยี่ยม (Best Design Excellence Award)' ประเภทพื้นที่ขนาด 108-120 ตร.ม. ในงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 21 (MONEY EXPO 2021) ประจำปี 2564 จาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ (กลาง) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีนายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ (ขวา) ประธานบรรณาธิการ วารสารการเงินธนาคาร และประธานการจัดงานมหกรรมการเงิน ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ทั้งนี้ EXIM BANK ออกบูทให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเริ่มต้นส่งออกในรูปแบบ 'ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)' สอดคล้องกับแนวคิดการจัดงาน 'ความมั่งคั่งในมิติใหม่แห่งอนาคต (Future Wealth)' ในงานมหกรรมการเงินปีที่ผ่านมา

'สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์' ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการ โซน C กลุ่มอาคารด้านทิศใต้

นายกิตติศักดิ์ สุภาควัฒน์(ขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำกลุ่มธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามสัญญาจ้างงานก่อสร้าง โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยาย ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โซน C กลุ่มอาคารด้านทิศใต้ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2566 ณ ห้องประชุม 4-5 อาคารธนพิพัฒน์ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เมื่อเร็วๆนี้ ในฐานะที่ STI เป็นที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้าง พร้อมทั้งเดินหน้าควบคุมงานก่อสร้างโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการ โซน C อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ส่งมอบงานได้ตรงตามแผนงานที่สุด ภายใต้การบริหารของกลุ่ม SPC Consortium โดยมี STI เป็นบริษัทหลัก (Lead Firm)

 

หน้า: 1 ... 498 499 [500] 501 502 ... 511